'สส.ปชน.' ชงเรื่องเข้า กมธ.หนี้สิน สอบ 'กยศ.' หักเงินลูกหนี้เพิ่ม

'สส.ปชน.' ชงเรื่องเข้า กมธ.หนี้สิน สอบ 'กยศ.' หักเงินลูกหนี้เพิ่ม

"สส.ปชน." จ่อชงเรื่องให้ กมธ. หนี้สิน เรียก "กยศ." สอบ ปมเรียกหักเงินลูกหนี้ เพิ่มอีกเดือนละ 3,000 บาท ซัดเป็นการเพิ่มภาระแรงงาน-เพิ่มหนี้ก้อนใหม่

ที่รัฐสภา สส.พรรคประชาชน นำโดยนายสุรพันธ์ ไวยากรณ์ สส.นนทบุรี นายปารมี ไวจงเจริญ สส.บัญชีรายชื่อ และนายสหัสวัต คุ้มคง สส.ชลบุรี พรรคประชาชน ร่วมแถลงถึงกรณีที่กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) หักเงินเพื่อชำระเงินกู้ยืมคืนจากผู้ค้างชำระหนี้ โดยหักเพิ่มรายละ 3,000 บาท มีผลตั้งแต่เดือนเม.ย. 68 เป็นต้นไป

โดยนายสุรพันธ์ กล่าวว่า   กรณีที่เกิดขึ้นมีข้อสงสัยหลายประเด็น เช่น  กรณีที่นายจ้างต้องหักเงินเพิ่ม 3,000 บาท นอกเหนือจากยอดหักเดิม คาดว่าจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงกับผู้กู้ ขณะที่ กยศ. ไม่มีแนวทางผ่อนปรนที่ชัดเจน ต่อการปรับโครงสร้างหนี้  ขณะที่ในเดือน เม.ย. มีลูกหนี้ทำการปรับโครงสร้างหนี้ถึง 1.74 แสนราย ในเดือนเดียว จึงทำให้ยอดผู้ปรับโครงสร้างสะสมเพิ่มขึ้นเป็นถึง 400,000 ราย เฉพาะเดือนเดียวเพิ่มขึ้นถึง 896.36% เมื่อเทียบกับเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา จึงตั้งข้อสังเกตว่าการส่งจดหมายเรียกเก็บเงินเพิ่ม เป็นการบีบบังคับให้ลูกหนี้เข้าโครงการปรับโครงสร้างหนี้หรือไม่

"สส.พรรคประชาชน นำเรื่องเข้าคณะกรรมาธิการ (กมธ.) แก้ไขปัญหาหนี้สิน ความยากจน และลดความเหลื่อมล้ำ สภาผู้แทนราษฎร อย่างเร่งด่วน เมื่อวันที่ 9 เม.ย. และ กรรมาธิการจึงมีมติทำหนังสือสอบถามไปยัง กยศ. เรื่องรายละเอียดการหักเงินดังกล่าว ต่อมา กยศ. ได้ทำหนังสือแจ้งกลับว่าเป็นไปตามอำนาจของพระราชบัญญัติกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา ฉบับที่ 2 พ.ศ.2566 และประกาศคณะกรรมการกองทุน 2567" นายสุรพันธ์ กล่าว

นายสุรพันธ์ กล่าวว่า ขณะนี้มีลูกหนี้ ประมาณ 3.5 ล้านราย อยู่ระหว่างการชำระหนี้ แต่มีตัวเลขผู้ลงทะเบียนปรับโครงสร้างหนี้เพียง 400,000 ราย หรือคิดเป็น 13% ดังนั้นอีก 87% ที่เหลือ กยศ.ยังไม่ชี้แจงว่าอยู่ในสถานะใด จึงอยากให้ กยศ.ชี้แจงข้อมูลเพิ่มเติม

ด้านนายสหัสวัต กล่าวว่าจากกรณีที่เกิดขึ้นไม่มีการแจ้งล่วงหน้า ทำให้ ลูกหนี้ กยศ. ที่อยู่ในวัยแรงงานไม่สามารถวางแผนทางการเงินได้  และทำให้ต้องกู้ยืมเงินนอกระบบ หากเป้าหมายของ กยศ.ต้องการให้ลูกหนี้ใช้หนี้ การใช้มาตรการดังกล่าวไม่ก่อให้เกิด ความเป็นไปได้ที่จะทำให้คนมาใช้หนี้ กยศ.เพิ่ม และกลายเป็นหนี้ส่วนอื่นเพิ่มขึ้นมาอีก ทำให้เกิดผลกระทบเป็นลูกโซ่ตามมากับพี่น้องแรงงานจำนวนมาก

“เงิน 3,000 บาท สำหรับหลายหลายคนอาจจะดูไม่มาก แต่สำหรับแรงงานที่ทำงานเดือนละ 10,000 กว่าบาท แล้วมีภาระที่ต้องใช้จ่าย เงิน 3,000 บาทนี่มันเยอะมาก ผมไม่แน่ใจว่าคุณคิดเรื่องนี้ คิดบนพื้นฐานอะไร แต่ยืนยันว่าการคิดเรื่องนี้ เป็นการคิดที่ไม่รอบคอบหรือเปล่า จึงอยากให้ กยศ.พิจารณามาตรการนี้ใหม่ ว่าหากันแบบนี้มันส่งผลกระทบต่อเรื่องอื่นหรือไม่ อาจเป็นโทษมากกว่าบวก ”นายสหัสวัต กล่าว 

ขณะที่นายปารมี กล่าวว่า  การแก้กฎหมาย กยศ. บเมื่อปี 66 ทาง กยศ. ยังไม่สามารถคำนวณหนี้ใหม่ และปรับโครงสร้างหนี้กับลูกหนี้ได้ ที่ผ่านมาทำได้เพียง 400,000 กว่าราย จากลูกหนี้ 3.5 ล้านราย จากปี 66 จนถึงปัจจุบัน มองว่าการดำเนินงานของ กยศ. ไร้ประสิทธิภาพ

"การปรับโครงสร้างหนี้เป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะจะเป็นการคำนวณหนี้ใหม่ เนื่องจากดอกเบี้ยลดลง ผู้กู้บางรายอาจจะต้องได้รับเงินคืน ทั้งหมดกว่า 2 พันล้านบาท ตรงนี้ กยศ.ยังไม่ได้ตอบว่า ได้คืนเงินลูกหนี้หลายรายแล้วหรือยังซึ่งอาจทำให้สังคมสงสัยว่า กยศ.ไม่มีเงินคืนให้หรือไม่" นายปารมี กล่าว.