ย้อนปมถอนประกัน ‘เจ๋ง-ก่อแก้ว’ เทียบศาลฎีกาฯไต่สวน ‘ทักษิณ’

การใช้ดุลพินิจตามมาตรา 6 แห่ง พ.ร.ป.ศาลฎีกานักการเมืองฯ ครั้งแรกหรือไม่? ยังไม่มีข้อมูลยืนยันข้อเท็จจริงดังกล่าว แต่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในกรณี “เจ๋ง-ก่อแก้ว” มาแล้ว
กรณีศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ไม่รับคำร้องของ “ชาญชัย อิสระเสนารักษ์” อดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ยื่นคำร้องขอให้ไต่สวนกรณีที่กรมราชทัณฑ์ อนุญาตให้ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งถูกตัดสินจำคุก 8 ปี แต่ได้รับการลดโทษเหลือ 1 ปี ออกจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ไปรับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากศาล เนื่องจากมิใช่ผู้มีส่วนได้เสีย
แต่ศาลฎีกาฯ ระบุว่า เมื่อความปรากฏต่อศาลว่า อาจมีการบังคับตามคำพิพากษาที่ไม่เป็นไปตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดของศาลนี้ ศาลย่อมมีอำนาจไต่สวน และมีคำสั่งตามที่เห็นสมควร จึงสั่งให้โจทก์ (คตส. ปัจจุบันมีคณะกรรมการ ป.ป.ช.แทน) และจำเลย (ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ) ชี้แจงข้อเท็จจริงตามที่กล่าวอ้างในคำร้องหรือไม่
พร้อมให้ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร อธิบดีกรมราชทัณฑ์ และนายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ แจ้งให้ศาลทราบ พร้อมกับแสดงหลักฐานที่เกี่ยวข้องภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับทราบคำสั่งศาล ขณะเดียวกันศาลมีคำสั่งให้นัดพร้อมหรือนัดไต่สวนในวันที่ 13 มิ.ย.2568 เวลา 09.00 น.
สรุปให้เข้าใจง่ายคือ ศาลสั่ง “ป.ป.ช.-ทักษิณ” ชี้แจงข้อเท็จจริง และสั่งให้ ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ-อธิบดีกรมราชทัณฑ์-นายแพทย์ใหญ่ รพ.ตำรวจ ชี้แจง และส่งเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องแก่ศาลใน 30 วัน โดยศาลนัดว่าจะไต่สวนหรือไม่ในวันที่ 13 มิ.ย.นี้
ทั้งนี้ศาลฎีกาฯ อาศัยมาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2560 เพื่อมีคำสั่งดังกล่าว โดยตามบัญญัติดังกล่าว ระบุว่า การพิจารณาคดีให้ใช้ระบบไต่สวน โดยให้ศาลค้นหาความจริง ไม่ว่าจะเป็นคุณหรือเป็นโทษแก่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง และในการวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริง ให้ศาลรับฟังพยานหลักฐานได้ แม้ว่าการไต่สวนพยานหลักฐานนั้น จะมีข้อผิดพลาดคลาดเคลื่อนไปจากขั้นตอน วิธีการ หรือกรอบเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้ ถ้าศาลได้ให้โอกาสแก่คู่ความในการโต้แย้งคัดค้านพยานหลักฐานนั้นแล้ว เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงที่ถูกต้องตรงตามความจริงที่เกิดขึ้นในคดีนั้น ทั้งนี้ตามแนวทางและวิธีการตามข้อกำหนดของประธานศาลฎีกา
การพิจารณาของศาลเป็นไปโดยรวดเร็วตามที่กำหนดใน พ.ร.ป.นี้ และข้อกำหนดของประธานศาลฎีกา ทั้งนี้โดยนำสำนวนการไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช.หรือของคณะผู้ไต่สวนอิสระ แล้วแต่กรณีเป็นหลักในการพิจารณา และเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมให้ศาลมีอำนาจไต่สวนหาข้อเท็จจริง และพยานหลักฐานเพิ่มเติมได้
ในการปฏิบัติหน้าที่ ศาลมีอำนาจเรียกเอกสารหรือหลักฐานที่เกี่ยวข้องจากบุคคลใด หรือเรียกบุคคลใดมาให้ถ้อยคำ ตลอดจนขอให้ศาลอื่น พนักงานสอบสวน หน่วยราชการ หน่วยงานอื่นของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น ดำเนินการใดเพื่อประโยชน์แห่งการพิจารณาได้
ประเด็นข้างต้นถูกหลายฝ่ายวิพากษ์วิจารณ์ว่า เป็นการใช้ดุลพินิจตามมาตรา 6 แห่ง พ.ร.ป.ศาลฎีกานักการเมืองฯ ครั้งแรกหรือไม่? อย่างไรก็ดียังไม่มีข้อมูลยืนยันข้อเท็จจริงดังกล่าว แต่การใช้ดุลพินิจกรณี “ความปรากฏแก่ศาล” นั้น “นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ” อดีต สส.พัทลุง เฉลยข้อเท็จจริงแล้วว่า เคยเกิดขึ้นมาก่อนในกรณี “เจ๋ง ดอกจิก” (ยศวริศ ชูกล่อม อดีตแกนนำคนเสื้อแดง) และ "ก่อแก้ว พิกุลทอง" มาแล้ว
เมื่อ 2 พ.ค. 2568 “นิพิฏฐ์” ระบุว่า เมื่อปี 2553 ตอนที่มีการชุมนุมของกลุ่ม ”คนเสื้อแดง” ตอนนั้น เจ๋ง ดอกจิก และ ก่อแก้ว พิกุลทอง ได้มีพฤติการณ์ข่มขู่ศาลรัฐธรรมนูญ โดยปราศรัย ระบุชื่อตุลาการ ที่อยู่และเบอร์โทรศัพท์ของตุลาการ และให้คนเสื้อแดงเดินทางไปที่บ้านของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ผมจึงไปยื่นคำร้องขอให้ศาลอาญาถอนประกัน ตอนนั้นก็วิพากษ์วิจารณ์กันเยอะว่าทำได้ไหม
“แต่ศาลก็รับคำร้องไว้โดยให้เหตุผลว่า ความปรากฎต่อศาลจากคำร้องของนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ก็สั่งไต่สวน และมีคำสั่งถอนประกัน เจ๋ง ดอกจิก และ ก่อแก้ว พิกุลทอง บุคคลทั้งสองก็เข้าคุกไป” นิพิฏฐ์ ระบุ
ย้อนกลับไป 15 ปีก่อน เมื่อปี 2555 องค์คณะผู้พิพากษาศาลอาญา ได้พิจารณาเรื่องนี้ จากการร้องโดย “นิพิฏฐ์” เมื่อครั้งเป็น สส.มือกฎหมายแห่ง “ค่ายสีฟ้า” โดยในการร้องถอนประกันครั้งนี้ มีจำเลยหลายคน แต่ที่ถูกถอนประกันมีเพียง 2 คนคือ “เจ๋ง ดอกจิก-ก่อแก้ว พิกุลทอง” ทั้งนี้ศาลเปิดโอกาสให้ผู้ถูกยื่นถอนประกัน เบิกความพยานมา 3 ปากเพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงแก่ศาลได้
โดยการพิจารณาเริ่มจากกรณีของ “เจ๋ง ดอกจิก” ก่อน เขาถูกดำเนินคดีร่วมกันก่อการร้ายเมื่อปี 2553 และได้ประกันตัว ถูกกล่าวหาว่า มีพฤติการณ์เข้าข่ายผิดเงื่อนไขการให้ประกันตัว ขึ้นเวทีปราศรัยที่บริเวณหน้ารัฐสภา กล่าวโจมตีพาดพิง ข่มขู่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่รับคำร้องขอให้วินิจฉัยร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 291 ขัด มาตรา 68 ของรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นการล้มล้างการปกครองหรือไม่
ส่วน “ก่อแก้ว” ถูกดำเนินคดีเดียวกัน และได้ประกันตัว ถูกกล่าวหาว่า มีพฤติการณ์ข่มขู่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามมาตรา 68 และตัดงบประมาณศาลรัฐธรรมนูญ ถือว่ากระทำผิดเงื่อนไขการประกัน โดยศาลดำเนินการไต่สวนเสร็จสิ้นภายในวันเดียว และมีคำสั่ง “ถอนประกัน” รายของ “เจ๋ง ดอกจิก-ก่อแก้ว พิกุลทอง” ไป
อย่างไรก็ดีกระบวนการพิจารณารายของ “เจ๋ง ดอกจิก-ก่อแก้ว พิกุลทอง” อยู่ในชั้นกระบวนพิจารณาขององค์คณะผู้พิพากษาศาลอาญา (ชั้นต้น) ซึ่งอาจแตกต่างกันกับการพิจารณาขององค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกา ที่ดำเนินการอยู่ในกรณีของ “ทักษิณ” ดังนั้นบทสรุปของ “สทร.” จะเป็นอย่างไร ต้องรอลุ้นกัน 13 มิ.ย.นี้







