นิติสงคราม รุกคืบ 'ชั้น14' ขยี้ ‘ทักษิณ’ - ‘ตั๋วPN’ เขย่า 'แพทองธาร'

นิติสงครามรุก ‘ทักษิณ - แพทองธาร’ บ่วง ‘ชั้น 14 - ม.112 ’ มัด ‘นายใหญ่’- ‘หุ้น PN’ ปมร้อนขยี้นายกฯ ทางลงคดี ‘พอล แชมเบอร์ส’ เปิดทางเจรจา ‘ภาษีทรัมป์’
KEY
POINTS
- เกือบ 2 ปีนับตั้งแต่ที่ “ทักษิณ” เดินทางกลับประเทศ ภายใต้ “ดีลพิเศษ” หลังมีการจัดตั้งรัฐบาลข้ามขั้ว ประเด็นปริศนาชั้น 14 รพ.ตำรวจ ถือเป็น “แผลใหญ่” กลายเป็นจุดอ่อนที่ถูกนำมาขยี้แผลทั้งใน และนอกสภาฯ
- เมื่อ “เกมดุลอำนาจ” ไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่กุมอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด กลับกัน ยิ่งสะท้อนภาพ “อำนาจซ้อนอำนาจ” หรือ “รัฐซ้อนรัฐ” ครอบไว้อีกชั้น เช่นนี้จึงไม่แปลกที่เกมการเมืองจะยังคงซุกซ่อนไว้ด้วยสารพัดไพ่ลับ
- “เกมนิติสงคราม” ที่กำลังรุกไล่เวลานี้ ไม่ได้มีแค่ “ทักษิณ” ผู้เป็นบิดานายกฯ แต่ยังมีในส่วนของ “นายกฯ อิ๊งค์” บุตรสาว โดยเฉพาะปมร้อนโอนหุ้น โดยการออกตั๋วสัญญาใช้เงิน หรือ “ตั๋ว PN” ซึ่งฝ่ายค้านเปิดแผลนี้ไว้เมื่อครั้งอภิปรายไม่ไว้วางใจ “นายกฯ อิ๊งค์” เมื่อเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา
- สัมพันธ์ไทย-สหรัฐ การเจรจา “ภาษีทรัมป์” ที่กำลังสะดุด มีการวิเคราะห์ว่า เหตุผลส่วนหนึ่งมาจาก การใช้มาตรา 112 กับ “พอล แชมเบอร์ส” อาจารย์ชาวอเมริกัน จึงได้เห็น “ทางลง” ของรัฐบาล หลังอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องในคดีดังกล่าว
- “2 พ่อลูก” กำลังเดินเข้าสู่จุดเสี่ยงทางการเมืองอีกระลอก ภายใต้ “เกมดุลอำนาจ” อะไรย่อมเกิดขึ้นได้
ผ่าเกม “ดุลอำนาจ”กระดานการเมืองยังไม่นิ่ง สารพัดปัจจัยที่กำลังรุมเร้ารัฐบาลพรรคเพื่อไทย ภายใต้การนำของ “แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี จนถึงเวลานี้ ยังเต็มไปด้วยกับดักทางการเมืองบนเส้นทางอันตรายของรัฐบาล ทั้งศึกใน ศึกนอก
โดยเฉพาะ “นิติสงคราม” ไล่ตั้งแต่ กรณีที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง “ไม่รับคำร้อง” ของ “ชาญชัย อิสระเสนารักษ์” อดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ที่ขอให้ไต่สวน กรณีกรมราชทัณฑ์อนุญาต “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้เป็นบิดานายกฯ ซึ่งศาลฎีกา พิพากษาจำคุก 8 ปี แต่ได้รับการลดโทษเหลือจำคุก 1 ปี ได้เข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากศาล
เหตุผลที่ศาลยกคำร้อง เนื่องจาก “ชาญชัย” ไม่ใช่คู่ความในคดี อีกทั้งไม่ใช่ผู้ได้รับความเดือดร้อน หรือเสียหายจากการบังคับโทษจำคุกแก่จำเลยในคดีดังกล่าว เมื่อผู้ร้องไม่ใช่ผู้มีส่วนได้เสีย ในชั้นบังคับตามคำพิพากษา จึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลนี้
ทว่า ภายใต้คำวินิจฉัย “ยกคำร้อง” นี้เอง ศาลฎีกากลับใช้อำนาจ “ไต่สวน” เอง ในประเด็นที่อาจมีการบังคับตามคำพิพากษาที่ไม่เป็นไปตามหมายจำคุก
โดยให้ทั้ง “ทักษิณ” ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร อธิบดีกรมราชทัณฑ์ และนายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ แจ้งให้ศาลทราบ พร้อมกับแสดงหลักฐานที่เกี่ยวข้องภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับทราบคำสั่งศาล ขณะเดียวกันศาลมีคำสั่งให้นัดพร้อมหรือนัดไต่สวนในวันที่ 13 มิ.ย.2568 เวลา 09.00 น.
นอกจากศาลฎีกาคดีอาญาการเมือง จะใช้อำนาจ “ไต่สวน” เองแล้ว ยังมีอำนาจในการ “ออกคำสั่ง” ตามที่เห็นสมควรได้อีกด้วย
เกือบ 2 ปีนับตั้งแต่ที่ “ทักษิณ” เดินทางกลับประเทศ ภายใต้ “ดีลพิเศษ” หลังมีการจัดตั้งรัฐบาลข้ามขั้ว กระทั่งคืนสู่อิสรภาพโดยไม่ถูกจองจำภายในเรือนจำแม้แต่วันเดียว ประเด็นปริศนาชั้น 14 รพ.ตำรวจ ถือเป็น “แผลใหญ่” กลายเป็นจุดอ่อนที่ถูกนำมาขยี้แผลทั้งใน และนอกสภาฯ
เห็นชัดถึงการเคลื่อนเกมของสารพัดม็อบ เชื่อมโยงไปที่เส้นสาย “กลุ่มอำนาจฝ่ายขวา” อาทิ เครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศ(คปท.) ที่นำโดย พิชิต ไชยมงคล แกนนำกลุ่ม ที่เดินสาย “ยื่น” พร้อม “กดดัน” หน่วยงานที่เกี่ยวข้องออกแอ็กชันในเรื่องนี้
มีทั้งในส่วนที่อยู่ในการพิจารณาของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
ก่อนหน้านี้เมื่อเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา “สาโรจน์ พึงรำพรรณ” เลขาธิการ ป.ป.ช. เปิดเผยความคืบหน้าว่า กรณีดังกล่าวอยู่ในชั้นไต่สวน ซึ่งขณะนี้ได้ดำเนินการไต่สวน และรวบรวมพยานหลักฐานไปบางส่วนแล้ว
นอกจากนี้ ยังมีในส่วนที่คณะกรรมการสอบสวนเฉพาะกิจจริยธรรมแพทย์ที่รักษา “ทักษิณ” ซึ่งตามไทม์ไลน์จะมีการสรุปผลการสอบสวนส่งเข้าที่ประชุมใหญ่แพทยสภา ในวันที่ 8 พ.ค.68 นี้ จึงต้องจับตาว่าจะมีคำชี้แจงออกมาอย่างไร หรือจะดึงเกมยื้อเวลาออกไปอีก
ชั้น14 ตามหลอน-คดี 112 รุกไล่
ในเมื่อ “เกมดุลอำนาจ” ไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่กุมอำนาจได้แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด กลับกัน ยิ่งสะท้อนภาพ “อำนาจซ้อนอำนาจ” หรือ “รัฐซ้อนรัฐ” ครอบไว้อีกชั้น เช่นนี้จึงไม่แปลกที่เกมการเมืองจะยังคงซุกซ่อนไว้ด้วยสารพัดไพ่ลับ เพื่อรอจังหวะทิ้งไพ่หลังจากนี้
ไม่ใช่แค่คดีชั้น 14 ที่เวลานี้กลายเป็นบ่วงที่กำลังจะรัดคอ “ทักษิณ”เพียงเท่านั้น อย่าลืมว่า ยังมีคดีตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงในราชอาณาจักร จากกรณีให้สัมภาษณ์มีเนื้อหาพาดพิงสถาบัน กับสำนักข่าวแห่งหนึ่ง ที่กรุงโซล เกาหลีใต้ เมื่อปี 2558
โดยหลังจากที่ศาลอาญาสอบคำให้การจำเลย พร้อมตรวจพยานหลักฐานไปเมื่อวันที่ 19 ส.ค.ปีที่แล้ว ซึ่งเวลานั้น “ทักษิณ” ให้การปฏิเสธ พร้อมนำเสนอพยานหลักฐาน แบ่งเป็นพยานบุคคลฝ่ายจำเลยจำนวน 14 ปาก และพยานเอกสารอื่นๆ
จนถึงเวลานี้ผ่านไปเกือบ 1 ปี ต้องจับตาในเดือน ก.ค.2568 นี้ ซึ่งศาลนัดสืบพยานทั้งหมด 7 นัด โดยฝ่ายโจทก์นัดในวันที่ 1, 2 และ 3 ก.ค.2568 และนัดสืบพยานฝ่ายจำเลยจะเริ่มในวันที่ 15, 16, 22 และ 23 ก.ค.นี้
“ตั๋ว PN” หุ้นร้อนเขย่านายกฯ
จะว่าไป “เกมนิติสงคราม” ที่กำลังรุกไล่เวลานี้ ไม่ได้มีแค่ “ทักษิณ” ผู้เป็นบิดานายกฯ แต่ยังมีในส่วนของ “นายกฯ อิ๊งค์” บุตรสาว โดยเฉพาะปมโอนหุ้น โดยการออกตั๋วสัญญาใช้เงิน หรือ “ตั๋ว PN” 9 ฉบับ ซื้อหุ้นคนในครอบครัว และเครือญาติรวม 5 ราย มูลค่า 4,434.5 ล้านบาท ที่ถูกตรวจสอบ และกล่าวหาว่าเข้าข่าย “นิติกรรมอำพราง”
ประเด็นนี้พรรคประชาชน ในฐานะแกนนำฝ่านค้าน ได้เปิดแผลนี้ไว้เมื่อครั้งอภิปรายไม่ไว้วางใจ “นายกฯ อิ๊งค์” เมื่อเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา
เวลานี้กำลังถูกขยี้ซ้ำไปที่การใช้เกมกรรมาธิการ (กมธ.) การพัฒนาเศรษฐกิจ สภาฯ ซึ่งเป็นชุดที่ถูกควบคุมโดย “พรรคส้ม” ซึ่งมี “ดร.ชาย” สิทธิพล วิบูลย์ธนากุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน เป็นประธาน
แม้ท่าทีของ “พลพรรคเพื่อไทย” จะตั้งรับด้วยการหยิบยกคำชี้แจง ของ “ปิ่นสาย สุรัสวดี” อธิบดีกรมสรรพากร ลูกชายคนโตของ “ปลอดประสพ สุรัสวดี” อดีตแกนนำพรรคเพื่อไทย ที่เคยออกมาการันตีว่า กรณีดังกล่าว “ไม่เข้าข่ายการหลบเลี่ยงภาษี”
ทว่า “เกมส้ม” ยังมีสเต็ปต่อไป นั่นคือ การยื่นต่อป.ป.ช.เพื่อขยี้ซ้ำ ต่อจากนี้
ม.112 ฉุดรัฐบาล เจรจา “ภาษีทรัมป์” สะดุด
อีกหนึ่งปมร้อน ที่อาจไม่ใช่นิติสงคราม แต่กำลังทำให้ “รัฐบาลแพทองธาร” อาการหนักคือ ความไม่ชัดเจนกรณีการเจรจา “ภาษีทรัมป์” ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อใด
จากปมร้อนนี้เองมีความเห็นมาจาก “นักวิชาการ” รวมถึงผู้เชี่ยวชาญ ในแวดวงความมั่นคง ประเมินว่า ส่วนหนึ่งอาจเป็นผลมาจากกรณีแม่ทัพภาคที่ 3 ดำรงตำแหน่ง ผอ.กอ.รมน.ภาค 3 ได้เข้าแจ้งความเอาผิด ตามมาตรา 112 กับ “พอล แชมเบอร์ส” อาจารย์ชาวอเมริกัน ประจำศูนย์อาเซียนศึกษา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร
ตอกย้ำด้วยท่าทีของ “ทักษิณ” บิดานายกฯ ที่ให้สัมภาษณ์ระหว่างลงพื้นที่ จ.เชียงใหม่ เมื่อช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา ยอมรับว่า “มีปัญหาการฟ้องร้องคนอเมริกันอยู่บ้าง ซึ่งถูกนำเอามารวมกันหมด”
แม้ “ทักษิณ” จะไม่ได้เอ่ยชื่อว่าเป็นกรณีใด แต่ประเด็นนี้ถูก สส.ฝ่ายค้าน รวมถึงการเมืองขั้วตรงข้ามหยิบมาขยี้ซ้ำทันที "คนอเมริกัน" ที่ "อดีตนายกฯ" ตีความเป็นอื่นไม่ได้นอกจาก กรณี “พอล แชมเบอร์ส”
จึงได้เห็น “ทางลง” ของรัฐบาล โดยเมื่อวันที่ 1 พ.ค.68 อัยการภาค 6 มีคำสั่งไม่ฟ้อง “พอล แชมเบอร์ส” ในความผิดมาตรา 112 และข้อหานำเข้าข้อมูลเท็จสู่ระบบคอมพิวเตอร์
โดยต่อจากนี้พนักงานอัยการจังหวัดพิษณุโลกจะยื่นคำร้องขอปล่อยตัวผู้ต้องหาต่อศาลจังหวัดพิษณุโลก พร้อมทั้งดำเนินการส่งสำนวนพร้อมความเห็น และคำสั่งไม่ฟ้อง ไปยังผู้บัญชาการตำรวจภูธร ภาค 6 เพื่อพิจารณาว่า จะมีความเห็นแย้งในคำสั่งไม่ฟ้องหรือไม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 145/1 ต่อไป
สถานการณ์รุมเร้ารอบด้านเหล่านี้ ทำให้ “2 พ่อลูก” "ทักษิณ-แพทองธาร" กำลังเดินเข้าสู่จุดเสี่ยงทางการเมืองอีกระลอก ภายใต้ “เกมดุลอำนาจ” อะไรย่อมเกิดขึ้นได้
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







