‘กล้าธรรม’ โหมเดือด แดนใต้ ยุทธศาสตร์แถบแดง ตัดขาสีน้ำเงิน

‘กล้าธรรม’ โหมเดือด แดนใต้ ยุทธศาสตร์แถบแดง ตัดขาสีน้ำเงิน

สถานการณ์ในพรรคร่วมฯ ขณะนี้ เหมือนจำเป็นให้ต้องรวมกันเพื่อผลประโยชน์เฉพาะหน้า เมื่อถึงเวลา ก็แยกย้ายไปสู้กันเอง และมีโอกาสที่จะกลับมารวมกันใหม่ ภายใต้เงื่อนไข หรือตัวแปรบางอย่าง ที่อาจเปลี่ยนไป 

KEY

POINTS

  • บริบทการเมืองภาคใต้เปลี่ยนไปแล้วโดยสิ้นเชิง เรื่องกระแสอาจไม่มีผลชี้ขาดเท่าเมื่อก่อน
  • กล้าธรรม ที่ปักธงเลือกตั้งซ่อม เขต8 นครศรีฯ สำเร็จ เป็นตัวชี้วัดว่าสมรภูมิด้ามขวานจะสู้กันเดือดในการเลือกตั้งใหญ่ครั้งต่อไป 
  • ยุทธศาตร์หลีกกันเอง น่าจะได้เห็นระหว่างภูมิใจไทย และรวมไทยสร้างชาติ พื้นที่ใครพื้นที่มัน ไม่แข่งให้ตัดคะแนนกันเอง
  • กล้าธรรม ที่ถูกมองว่าเดินคู่ขนานเพื่อไทย ภารกิจสำคัญหนึ่งคือจัดการสีน้ำเงิน 

ความดุเดือดในการแย่งชิงพื้นที่ด้ามขวาน ผ่านการเลือกตั้งใหญ่ ปี 70 มีสัญญาณให้เห็นอย่างชัดเจน หลังจบศึกเลือกตั้งซ่อม นครศรีธรรมราช เขต 8 เมื่อพรรคกล้าธรรมประกาศศักดา เปิดหัวยึดเก้าอี้ สส.สำเร็จ ส่งก้องเกียรติ เกตุสมบัติ เข้าไปนั่งในสภาผู้แทนราษฎร

ถึงแม้ว่าในช่วงโค้งสุดท้าย ราคาต่อรองในพื้นที่จะสูสีคู่คี่ ฝ่ายบิ๊กโอ ตามอยู่นิดๆ แต่ ธรรมนัส พรหมเผ่า นายใหญ่แห่งกล้าธรรม ที่เจนสนามเลือกซ่อมภาคใต้ มาตั้งแต่นครศรีฯ รอบก่อน เมื่อปี 63 รวมถึงการเลือกซ่อมชุมพร และสงขลา ชนะบ้างแพ้บ้าง ก็ว่ากันไปตามแต่ละเงื่อนไข หากรอบนี้พลิกเกมจนได้

การส่งบิ๊กโอ ก้องเกียรติ แล้วประสบความสำเร็จรอบนี้ มาจากหลายปัจจัย เริ่มตั้งแต่ตัวผู้สมัครที่มีพื้นฐานเป็นนักการเมืองท้องถิ่นระดับ สจ. มาก่อน การที่กล้าธรรม มีอำนาจคุมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ก็นับว่ามีส่วนสำคัญในการขยายฐานการเมือง ไม่เว้นแม้แต่กำลังภายในของผู้กอง ที่ระดมแนวร่วมในยุทธจักร ใช้ทั้งลูกหนักลูกเบา ทำให้เครือข่ายในพื้นที่ลังเลๆ หันมาสวามิภักดิ์

การบดแชมป์เก่าจากภูมิใจไทย แบบม้วนเดียวจบ หลังปิดหีบนับคะแนน ก็ทำให้เห็นแล้วว่า กล้าธรรม ทำถึงลูกถึงคน

ค่ายน้ำเงิน ที่ส่ง ไสว เลื่องสีนิล ลงรักษาเก้าอี้แทนมุกดาวรรณ เลื่องสีนิล ก็จัดเต็มไม่แพ้กัน

เห็นได้จากคะแนนที่มุกดาวรรณ เคยได้เมื่อตอนเลือกตั้ง ปี 66 อยู่ที่ 23,393 คะแนน มารอบนี้ ไสว ได้ 28,417 คะแนน เพิ่มจากเดิมถึง 5,000 คะแนนเศษ ตรงนี้ก็บ่งบอกได้ดีว่า สีน้ำเงินเทหน้าตักใส่เต็มเหมือนกัน แต่ยังไม่เพียงพอ พ่ายให้กับบิ๊กโอ ที่ได้ 38,683 คะแนน ทิ้งห่างกันกระจุยกว่าหมื่นคะแนน

ว่ากันว่า กลยุทธ์ออกของและยิงซ้ำ เป็นตัวชี้ขาดความสำเร็จ เนื่องจากสมรภูมิภาคใต้ เปลี่ยนแปลงไปแล้วอย่างสิ้นเชิง นับตั้งแต่เลือกตั้งเมื่อปี 62

กล้าธรรม พรรคน้องใหม่ที่เบนเข็มลงใต้ต้องการขยายฐาน ทำพรรคให้ใหญ่ตอนนี้เหมือนมวยได้ใจ คึกคักประกาศพร้อมชนทุกพรรค น่าจะเป็นเพราะจับจุดถูก ว่าต้องทำอย่างไร หากจะพิชิต สส.ใต้ ในการเลือกตั้งใหญ่

ตอนนี้ในภาคใต้ นอกจากภูมิใจไทย รวมไทยสร้างชาติ และพลังประชารัฐ ที่แย่งพื้นที่ สส.เดิมได้จากประชาธิปัตย์ ในหลายศึกที่ผ่านมา นับจากนี้กล้าธรรม ก็กระโจนเข้าไปชิงส่วนแบ่งเพิ่มอีกพรรคเต็มตัว

ปฏิเสธไม่ได้ว่า ยุทธศาสตร์หลักของกล้าธรรม คือวางบทบาทเป็นพรรคคู่ขนานกับเพื่อไทย โดยมีเป้าหมายสำคัญคือ สกัดค่ายน้ำเงินให้อ่อนกำลัง ลดทอน สส.ในหลายภาค โดยเฉพาะภาคใต้ที่มองเห็นโอกาสมากพอสมควร การได้ไฟเขียวให้คุมกระทรวงเกษตรฯ เบ็ดเสร็จ ก็เป็นคำตอบอย่างดีว่านายใหญ่เปิดทางให้สะสมกำลังเต็มที่ เอาไว้ใช้กับศึกใหญ่ในอนาคต

ขณะที่แกนนำภูมิใจไทย และรวมไทยสร้างชาติ เหมือนมีข้อตกลงร่วมกันมานานแล้วว่า พื้นที่เดิมของใครในภาคใต้ อีกฝ่ายจะไม่เข้าไปผสมโรง ตัดกำลังแย่งชิงกันเอง

ดังนั้น เมื่อมี กล้าธรรม ที่กำลังจี๊ดจ๊าดเพิ่มเข้ามาในสมการแดนสะตอ จึงมีโอกาสสูงมาก ที่จะได้เห็น ภูมิใจไทยและรวมไทยสร้างชาติ แท็กทีมกันแน่นมากยิ่งขึ้น แบ่งพื้นที่ชัด ผ่านเกมขุมกำลัง 2 พรรค รวมเป็น 1 เพื่อบล็อคผู้กอง และคู่แข่งอื่นๆ

นั่นจะเท่ากับว่า ภูมิใจไทยผนึกรวมไทยสร้างชาติ ส่วนเพื่อไทยก็ผนึกกล้าธรรม และประชาชาติ ลงบู๊แดนใต้ ตั้งแต่ชุมพรถึงนราธิวาส ซึ่งฝ่ายหลังอาจจะต้องเจอเรื่องปวดหัวมากหน่อย ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้

นอกจากพื้นที่ทับซ้อนกันในนราธิวาส โดยเฉพาะ 2 เขต ของพี่น้องมะยูโซ๊ะ เด็กผู้กองแล้ว ยังมีประเด็นที่แกนนำประชาชาติคิดไม่ตก เพราะติดหล่มเรื่องเครือข่ายในพื้นที่บางกลุ่ม ที่รับปากรับคำบางประเด็นแล้วทำตามลำบาก จนความไม่พอใจสะท้อนผ่านหลายกรณีในพื้นที่

สถานการณ์ในพรรคร่วมฯ ขณะนี้ เหมือนจำเป็นให้ต้องรวมกันเพื่อผลประโยชน์เฉพาะหน้า เมื่อถึงเวลา ก็แยกย้ายไปสู้กันเอง และมีโอกาสที่จะกลับมารวมกันใหม่ ภายใต้เงื่อนไข หรือตัวแปรบางอย่าง ที่อาจเปลี่ยนไป