ไฟต์บังคับปรับ ครม. รีเซตทีมเศรษฐกิจ '2 สูตร'เขี่ย ภท.พ้นรัฐบาล?

เกมเร่งปรับ ครม.กำจัด ‘จุดอ่อน’ ‘พาณิชย์’ เรตติ้งดิ่ง โจทย์ ‘แพทองธาร’ รีเซตทีมเศรษฐกิจ ถอดรหัส ‘2 นายใหญ่’ ผ่า 2 สูตรเขี่ย ‘ภูมิใจไทย’ พ้นรัฐบาล?
KEY
POINTS
- การ “พลิกฟื้นเศรษฐกิจ” ซึ่งถือเป็นโจทย์ใหญ่ที่จะประคับประคองให้รัฐบาลอยู่รอดปลอดภัยไปจนครบเทอม ไม่แปลกที่จะได้เห็นข่าวคราวความเคลื่อนไหว จาก “พ่อนายกฯ” ทักษิณ ชินวัตร ที่ซุ่มซ้อมปั้นทีมเศรษฐกิจ
- เมื่อประเด็นเศรษฐกิจกลายเป็นโจทย์ใหญ่ ขณะที่ 2 รัฐมนตรีเศรษฐกิจในโควตาพรรคเพื่อไทย ถูกจัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยง “ยุทธการกำจัดจุดอ่อน” คือ การปรับ ครม.เพื่อรีเซตทีมเศรษฐกิจ “พลิกเกม” กู้เรตติ้งจึงอาจเกิดขึ้นในเร็ววัน
- เมื่อ “พรรคเพื่อไทย” และ “พรรคภูมิใจไทย” ในฐานะพรรคลำดับ1 และลำดับ 2 ในซีกรัฐบาลไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่ “ชิงเกมดุลอำนาจ” ได้แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ที่ผ่านมาจึงได้เห็นภาพของการช่วงชิงความได้เปรียบกันเป็นรายวัน
- จับตา 2 สูตรเขี่ย “ภูมิใจไทย” พ้นรัฐบาล?
ศูนย์สำรวจความคิดเห็น สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้าโพล) เปิดเผยผลการสำรวจ เมื่อวันที่ 20 เม.ย.68 เรื่อง “ปรับ ครม. วันไหนดี” สำรวจระหว่างวันที่ 5-9 เม.ย.2568 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมจำนวนทั้งสิ้น 1,310 หน่วยตัวอย่างเกี่ยวกับความคิดเห็นต่อการปรับคณะรัฐมนตรี (ปรับ ครม.) ในรัฐบาล ของ “แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี
โดย “นิด้าโพล” ได้สอบถามถึงกระทรวงที่ประชาชนอยากให้ “ปรับ” รัฐมนตรี มากกว่า “ไม่ปรับ” อันดับหนึ่ง คือ กระทรวงพาณิชย์ โดย 57.02% ระบุว่า ควรปรับเปลี่ยน ขณะที่ 41.60% ระบุว่า ไม่ควรปรับเปลี่ยน
ขณะที่กระทรวงอื่นๆ ที่มีค่าความเห็นปรับ และไม่ปรับใกล้เคียงกัน คือ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย48.55 % ระบุว่า ควรปรับเปลี่ยน ขณะที่ 49.47% ระบุว่า ไม่ควรปรับเปลี่ยน
ส่วนในกระทรวงอื่นๆ นั้น พบว่ามีค่าเปอร์เซ็นต์ที่ “ไม่ต้องการให้ปรับ” สูงกว่า “ความต้องการให้ปรับ”
ที่น่าสนใจคือ คำถามที่ “นิด้าโพล” ถามถึงความต้องการ “ปรับ ครม.” พบว่า 48.24% ระบุว่า จำเป็นต้องปรับ ครม. โดยเร็วที่สุด รองลงมา 16.18% ระบุว่า ไม่จำเป็นต้องปรับ ครม.
ขณะที่ 15.50% ระบุว่า การปรับ ครม. ควรรออีก 3 เดือน 10.07% ระบุว่า การปรับ ครม. ควรรออีก 6 เดือน 6.95% ระบุว่า การปรับ ครม. ควรรออีก 1 ปี และ 1.53% การปรับ ครม. ควรรออีก 9 เดือน และไม่ตอบ หรือ ไม่สนใจ ในสัดส่วนที่เท่ากัน
รีเซตทีมเศรษฐกิจ “กำจัดจุดอ่อน”
จริงอยู่ก่อนหน้านี้ “นายกฯ อิ๊งค์” จะย้ำมาโดยตลอดว่า ยังไม่มีแพลนจะปรับ ครม. เนื่องจากการทำงานกำลังต่อเนื่องได้ดี
ทว่าท่ามกลางสารพัดปัจจัยที่กำลังรุกไล่พรรคเพื่อไทยในเวลานี้ไม่ว่าจะเป็นการ “พลิกฟื้นเศรษฐกิจ” ซึ่งถือเป็นโจทย์ใหญ่ที่จะประคับประคองให้รัฐบาลอยู่รอดปลอดภัยไปจนครบเทอม หรืออีกราว 2 ปีที่เหลือ
ไม่แปลกที่จะได้เห็นข่าวคราวความเคลื่อนไหว จาก “พ่อนายกฯ” ทักษิณ ชินวัตร ที่ซุ่มซ้อมปั้นทีมเศรษฐกิจ ดึงนายแบงก์นักเศรษฐศาสตร์ นักกฎหมาย ร่วมทีมยุทธศาสตร์เพื่อ “พลิกเกม” ปั้นนโยบายใหม่ โดยเฉพาะโมเดลแก้หนี้เพื่อกอบกู้เรตติ้งให้กับพรรคเพื่อไทย ที่ขึ้นชื่อในเรื่องนโยบายประชานิยม
ตอกย้ำด้วยข่าวคราวการทาบ “นายแบงก์” คนดังที่ถูกดึงเข้ามาร่วมทีมบริหาร ที่อาจจะเป็นแคนดิเดต “ขุนคลัง” คนใหม่ แทน
“พิชัย ชุณหวชิร” รองนายกฯ และรมว.คลัง ซึ่งถูกจัดอยู่ในรัฐมนตรีกลุ่มเสี่ยงที่จะถูก “กำจัดจุดอ่อน”
เช่นเดียวกับ “พิชัย นริพทะพันธุ์” รมว.พาณิชย์ ที่เคยถูก สส.พรรคเดียวกันซักฟอกกลางวงประชุม สส.พรรค แถมล่าสุดผลสำรวจ “นิด้าโพล” ยังสะท้อนชัดว่าเป็นกระทรวงที่ประชาชนอยากให้ “ปรับรัฐมนตรี” มากกว่าไม่ปรับ
เป็นเช่นนี้ต้องจับตาเมื่อประเด็นเศรษฐกิจกลายเป็นโจทย์ใหญ่ ขณะที่ 2 รัฐมนตรีในโควตาพรรคเพื่อไทย ถูกจัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยง “ยุทธการกำจัดจุดอ่อน” คือการปรับ ครม.เพื่อรีเซตทีมเศรษฐกิจ “พลิกเกม” กู้เรตติ้งจึงอาจเกิดขึ้นในเร็ววัน
“เพื่อไทย-ภูมิใจไทย” ยังไงต่อ?
เหนือไปกว่านั้นท่ามกลางสารพัดปมร้อนที่สะท้อนให้เห็นถึงฉากวัดพลังใน “ซีกรัฐบาล” นับวันจะส่อแววหนักข้อมากขึ้น
อย่างที่รู้กันว่า เมื่อ “พรรคเพื่อไทย” และ “พรรคภูมิใจไทย” ในฐานะพรรคลำดับ1และลำดับ2 ในซีกรัฐบาลไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่ “ชิงเกมดุลอำนาจ” ได้แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ที่ผ่านมาจึงได้เห็นภาพของการช่วงชิงความได้เปรียบกันเป็นรายวัน
ทั้งร่างพ.ร.บ.การประกอบสถานบันเทิงครบวงจร หรือ“กฎหมายเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์”ซึ่งพรรคเพื่อไทย วางหมุดหมายจะเป็นโมเดลกระตุ้นเศรษฐกิจที่สำคัญ
แต่กลับเจอเกมขวางจากภูมิใจไทย โดยเฉพาะการปล่อยซีน “ลูกนาย” คือ ไชยชนก ชิดชอบ เลขาธิการพรรคประกาศกร้าวกลางสภาไม่เอากาสิโน ที่ถูกพุ่งไปที่ประเด็น “วางบิล” มากกว่า “ผิดคิว”
แถมล่าสุดยังใช้ “หมากสภาสูง” ที่ฝั่งสีน้ำเงินถืออยู่ในมือเปิดเกมต่อรองด้วยการส่ง “ไชยวัฒน์ จุนถิระพงศ์” อธิบดีกรมการปกครอง ซึ่งเป็นที่รู้กันว่า เป็นสายตรงที่ถูกโอบอุ้มโดยบ้านใหญ่บุรีรัมย์ เข้าไปนั่งประธาน กมธ.ศึกษาเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ วุฒิสภา
ย่อมเป็นการตอกย้ำเกมต่อรองระหว่าง“ค่ายสีน้ำเงิน”และ “ค่ายสีแดง”อย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น
ยังไม่รวม “วาระการเมือง” ทั้งประเด็นแก้รัฐธรรมนูญ ซึ่งพรรคเพื่อไทยเจอเกมขวางนโยบายเรือธง จนต้องแก้เกมกลับ ด้วยการยื่นศาลรัฐธรรมนูญเพื่อตีความ หวังประวิงเวลาเส้นทางลงเหวตั้งแต่วาระแรก เวลานี้ยังค้างคาอยู่ในศาลรัฐธรรมนูญ และยังไม่มีอะไรการันตีได้ว่าหากกฎหมายฉบับนี้กลับเข้าสภาฯ อีกครั้งจะไม่เจอเกมหักดิบจากพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันอีกรอบ
ยังไม่นับรวมอีกหนึ่งวาระร้อนการเมือง นั่นคือ กฎหมายนิรโทษกรรม ซึ่งสภาฯ เตรียมพิจารณาในสมัยประชุมหน้า
2สูตรเขี่ย “ภูมิใจไทย” พ้นรัฐบาล?
เป็นเช่นนี้ต้องจับตาท่ามกลางข่าวคราวการ “ปรับ ครม.” ไม่ต่างจากหลากหลายสูตรที่ถูกปล่อยออกมาในเวลานี้
สูตรแรก คือ การผลักภูมิใจไทยพ้นจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล หากนับเสียงที่แต่ละฝ่ายมีอยู่ในมือเวลานี้ “พรรคร่วมรัฐบาล” มี323(เสียงเดิม)+7(เสียงฝ่ายค้าน) เสียงรวมเป็น330 เสียง แบ่งเป็น พรรคเพื่อไทย 142 เสียง พรรคภูมิใจไทย69เสียง (จาก 71 เสียง มุกดาวรรณ เลื่องศรีนิล สส.นครศรีธรรมราช ถูกตัดสิทธิ รอเลือกตั้งใหม่ เอกราช ช่างเหลา สส.ขอนแก่น เตรียมย้ายไปพรรคกล้าธรรม) รวมไทยสร้างชาติ 36 เสียง
กล้าธรรม 24 เสียงเดิม บวก “กาญจนา จังหวะ”สส.ชัยภูมิ พรรคพลังประชารัฐ “ไชยามพวาน มั่นเพียรจิตต์” หรือ ปูอัด สส.บัยชีรายชื่อ พรรคไทยก้าวหน้า และ “เอกราช” ซึ่งถูกขับออกจากพรรคภูมิใจไทย ทั้ง3คนประกาศชัดเจนเตรียมย้ายไปสังกัดพรรคกล้าธรรม รวมแล้วพรรคกล้าธรรมจะมี 27 เสียง
ประชาธิปัตย์ 20 เสียง(จาก 25 เสียง) ประชาชาติ 9 เสียง ชาติไทยพัฒนา 10 เสียง ชาติพัฒนา 3 เสียง ไทยรวมพลัง 2 เสียง ประชาธิปไตยใหม่ 1 เสียง และไทยสร้างไทย 5 เสียง(โหวตสวนมติฝ่ายค้านไว้วางใจนายกฯ)
ขณะที่ “ฝ่ายค้าน” ที่แต่เดิมมีเสียงในมือ 164 เสียงแบ่งเป็น พรรคประชาชน 143 เสีย งพรรคพลังประชารัฐ 19 เสียง(จาก 20 เสียง)พรรคไทยสร้างไทย 1 เสียง พรรคเป็นธรรม 1 เสียง
สูตรนี้มี ข้อดี คือ ขั้วรัฐบาลจะไม่มี “ภูมิใจไทย” เป็นเสี้ยนหนามอีกต่อไป ขณะที่ ข้อเสีย คือ หากตัด “ภูมิใจไทย” ออกรัฐบาลจะเหลือเสียงปริ่มน้ำที่ 261เสียง ส่วนฝ่ายค้านมีเสียงในมือเพิ่มเป็น 233 เสียงต่างกันไม่มาก และต้องไม่ลืมว่า ภูมิใจไทยมีเสียง สว.อยู่ในมือ เป็นเช่นนี้แม้จะชนะเกมสภาล่างแต่อาจยังพ่ายเกมสภาสูง
ทว่าสูตรนี้อาจยังต้องจับตาอีกหลากหลายปัจจัยที่มีโอกาสพลิกผันได้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นคดี 44 สส.พรรคก้าวไกล ที่ร่วมลงชื่อแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ซึ่งถูกจับตาว่าอาจชี้ชะตาภายในปีนี้ แน่นอนว่าหากผลเป็นลบย่อมส่งผลให้เสียงฝ่ายค้านหายไปค่อนกระดาน
ก่อนหน้านี้มีข่าวปล่อยจากป.ป.ช.ว่า มีการแบ่งกลุ่ม สส.เหล่านี้ไว้ 4 กลุ่ม ซึ่งมีอย่างน้อย 12 คน อยู่ในกลุ่มเสี่ยงถูกล็อกเป้าตัดสิทธิทางการเมืองอย่างแน่นอน
อีกหนึ่งคดีที่ต้องจับตา คือ “คดีโพยฮั้ว สว.” ซึ่งถูกจับตาว่า อาจได้เห็นฉากล้างกระดานสีน้ำเงิน
สอดรับกับกระแสข่าว ความเคลื่อนไหวเดินเกมดูด สว.สายสีน้ำเงินอ่อน ที่มีอยู่ 35-40 คน หากรวมกับ สว.กลุ่มอื่นๆ ก็จะทำให้เสียงในสภาสูงที่ไม่ได้อยู่ภายใต้อาณัติสีน้ำเงิน ราวๆ 70-80 เสียง
ยังไม่นับรวมตัวเลขดูด สส.งูเห่าที่ “ผู้มากบารมี” บางพรรค พยายามขายฝัน “นายใหญ่” จะเป็นจุดพลิกกระดานการเมืองหากสูตรดูด “2 สภาฯ” ประสบผลสำเร็จ
แน่นอนว่า กลเกมที่เกิดขึ้นเวลานี้ “ฝั่งสีน้ำเงิน” ย่อมอ่านทางได้เป็นอย่างดี จึงเห็นได้ชัดถึงสัญญาณรุกกลับแบบกลายๆ ของฝั่ง “สีน้ำเงิน” ทั้งการเดินเกมซื้อใจ "หัวขบวนอนุรักษนิยม" โชว์พาว เป็นเลือดสีน้ำเงิน หรือแม้แต่การอ้างถึง “สัญญาณพิเศษ” นอกสภาฯ ที่ถูกปล่อยออกมาในเวลานี้
หรือจะเป็นไปตาม “สูตรที่สอง” คือ ยึดตาม “นายกฯ อิ๊งค์” เคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ คือ การรักษาเสถียรภาพด้วยการกอดคอพรรคร่วมรัฐบาลไปจนครบเทอม
สูตรนี้มีการวิเคราะห์ว่า เพื่อไทยอาจประเมินแล้วว่า ถึงอย่างไรภูมิใจไทยก็ไม่กล้าประกาศถอนตัว
บวกความเคลื่อนไหวภายใน “พรรคสีน้ำเงิน” ที่อาจไม่เป็นเนื้อเดียวกันเหมือนเก่าก่อน ฝั่งหนึ่งโชว์ภาพไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม ในขณะที่อีกฝั่งยังไม่พร้อมปะทะ
เช่นนี้ต้องจับตาทำไปทำมาอาจกลายเป็นเกมเข้าทางเพื่อไทยชิงจังหวะเปิดเกมรุกกลับด้วยการ “บีบยึดคืน” บางกระทรวง โดยเฉพาะมหาดไทย กลับมาอยู่ในการดูแลของพรรค
ต่างๆ เหล่านี้ต้องจับตามีการคาดการณ์ว่า ในช่วง 3 เดือนระหว่างปิดสมัยประชุมสภาฯ ก่อนเปิดสมัยประชุมอีกครั้งในวันที่ 3 ก.ค. โดยเฉพาะไทม์ไลน์หลัง 28-30 พ.ค.ซึ่งสภาฯ เปิดประชุม สมัยวิสามัญเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 วาระแรก
คาดว่าหลังจากนั้นจะได้เห็นการ “ปรับ ครม.แพทองธาร” อย่างแน่นอน
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์