ศึกนายกเล็ก คนเมือง 2 เฉดสี วัดกระแส ‘เมืองหลวงชินวัตร’

ศึกเลือกตั้งนายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่ 11 พ.ค. 2568 เป็นการวัดกระแสคนเมือง จะให้การเมืองสีแดงหรือสีส้ม ยึดกุมอำนาจในตัวเมือง หลังพรรคเพื่อไทยเอาชนะ นายก อบจ.
KEY
POINTS
- ศึกเลือกตั้งนายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่ 11 พ.ค. 2568 เป็นการวัดกระแสคนการเมือง 2 เฉดสี ระหว่าง พรรคเพื่อไทยที่มี อัศนี บูรณุปกรณ์ กับพรรคประชาชนที่ส่ง ธีรวุฒิ แก้วฟอง
- การปรากฎของ 2 นายกฯ ชินวัตร ลูกหลานคนเชียงใหม่ ในช่วงเทศกาลสงกรานต์สะท้อนเชิงสัญลักษณ์ “เพื่อไทย” ต้องการให้ “เชียงใหม่” เป็นเมืองหลวงของ พรรคเพื่อไทนและ “คนชินวัตร” เช่นเดิม
- พลิกคะแนน ตัวเมืองเชียงใหม่ 5 เขต จากผลเลือกตั้งนายก อบจ.เชียงใหม่ ปี 2568 พบว่า “พันธุ์อาจ ชัยรัตน์” จากพรรคประชาชน เอาชนะ พรรคเพื่อไทย ทั้ง 5 เขต
- หากนายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่ยังอยู่กับ “เพื่อไทย” แน่นอนว่า “นายใหญ่” จะยิ่งฮึกเหิม ทวงคืนศรัทธา “เพื่อไทย” ใน จ.เชียงใหม่ให้กลับคืนมา ปูทางไปถึงเลือกตั้งใหญ่ปี 2570
“พรรคเพื่อไทย” ยึดครองเก้าอี้นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงใหม่ ไว้ได้อีกสมัยเมื่อวันที่ 1 ก.พ. 2568 ด้วยการอาศัยสรรพกำลังของคะแนนเสียงจัดตั้งในพื้นที่ รวมทั้งการออกแรงของ “นายใหญ่” ทักษิณ ชินวัตร ที่บุกขึ้นเหนือไปรักษาฐานเสียงบ้านเกิดตระกูล “ชินวัตร” อยู่หลายระลอก
ปลายปี 2567 “นายใหญ่” ขยับจังหวะไปช่วยปราศรัยหาเสียงให้ “พิชัย เลิศพงศ์อดิศร” ขยับมาอีกปลายเดือน ม.ค. 2568 ช่วงโค้งสุดท้าย บุกตีซ้ำ จ.เชียงใหม่ ปราศรัยใหญ่ช่วย “พิชัย”
ผลเลือกตั้งนายกฯเมืองเชียงใหม่ “พรรคเพื่อไทย” ต้องปะทะกับ “พรรคประชาชน” จบลงด้วยชัยชนะ ฝั่ง “แดงเพื่อไทย”
นายกฯ ก๊อง ได้รับเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียง 397,250 คะแนน ขณะที่ “พันธุ์อาจ ชัยรัตน์” จากพรรคประชาชน มาเป็นที่สอง ได้ 379,738 คะแนน
สำหรับการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่หรือนายกฯเล็ก อยู่ระหว่างหาเสียง แถมยังตรงกับช่วงเทศกาลมหาสงกรานต์ได้ทีสร้างกระแสของคนเมือง 2 เฉดสี
การชิงเก้าอี้นายกฯ เล็กเชียงใหม่ กำหนดวันเลือกตั้งในวันอาทิตย์ที่ 11 พ.ค. 2568
โดยในห้วงสงกรานต์ 13-14 เม.ย. 2568 “นายใหญ่” เดินควง “นายกฯ แพทองธาร” ร่วมสร้างกระแสกระตุ้นเมืองท่องเที่ยวช่วงสงกรานต์ให้กับ จ.เชียงใหม่ ในย่านท่าแพ ตัวเมืองเชียงใหม่ และหน้าศูนย์การค้า “เมญ่า” เอาใจวัยโจ๋ และนิวโหวตเตอร์
2 นายกฯ ควงแขนกันสาดกระสุนน้ำใส่ “คนเชียงใหม่” และ นักท่องเที่ยว อย่างเต็มที่แบบส่งใจถึงฐานเสียง
ในทางหนึ่ง การปรากฎของ 2 นายกฯ ชินวัตร ลูกหลานคนเชียงใหม่ เพื่อสะท้อนเชิงสัญลักษณ์ว่า “เพื่อไทย” ยังต้องการให้ “เชียงใหม่” เป็นเมืองหลวงของ พรรค และ “คนชินวัตร” เช่นเดิม
ตระกูลบูรณุปกรณ์ นาทีนี้แยกกันอยู่สองค่าย ปีกของ “ทัศนีย์ บูรณุปกรณ์” อดีต สส.เชียงใหม่ และ “ทัศนัย บูรณุปกรณ์” อดีตนายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่ สายหนึ่งแตกไปช่วยวางยุทธศาสตร์การหาเสียงให้กับพรรคประชาชนในการเลือกตั้ง นายก อบจ.เชียงใหม่ที่ผ่านมา
ศึกเลือกตั้งครั้งนี้ "กุ้ง-ไก่" ไม่ออกหน้าสื่อ แต่ยังคงอยู่ฉากหลังช่วยออกแรงดันให้กับพรรคสีส้มในศึกนายกเล็กเช่นเดิม
ขณะที่ “บูรณุปกรณ์” อีกสายของ “ประพันธ์ บูรณุปกรณ์”เปิดทางให้คนรุ่นใหม่คือลูกชาย “อัศนี บูรณุปกรณ์” ลงสมัครนายกเทศมนตรี
ในรอบ 20ปี นายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่ ถูกผูกขาดด้วย “ตระกูลบูรณุปกรณ์”เป็นส่วนใหญ่ ไล่มาตั้งแต่ปี 2547 บุญเลิศ บูรณุปกรณ์ ปี 2552 และปี 2554 ทัศนัย บูรณุปกรณ์ ล่าสุดปี 2564 นายกหน่อย อัศนีย์ บูรณุปกรณ์ มีเพียงปี 2550 นายกเทศมนตรีเป็นของ เดือนเต็มดวง ณ เชียงใหม่
ผลเลือกตั้งนายกเล็กเชียงใหม่ เมื่อ 28 มี.ค. 2564 อัศนี ได้รับเลือกตั้ง 19,198 คะแนน ขณะที่ “ธีรวุฒิ แก้วฟอง” ที่กลับมาลงสมัครอีกครั้งได้ 6,797 คะแนน
เลือกตั้งนายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่ 11 พ.ค. 2568 จึงเป็นการวัดกำลังศึกนครเชียงใหม่ ระหว่างค่ายแดงและค่ายส้ม อีกครั้ง
พรรคประชาชนส่ง “เหมา” ธีรวุฒิ แก้วฟอง อดีตข้าราชการสำนักงานจังหวัดเชียงใหม่หมายเลข2 ชูแคมเปญ “รับเหมา สร้างเมือง” ได้ผู้นำค่ายส้ม “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” ประธานคณะก้าวหน้าลงพื้นที่หาเสียง ตลาดนัดฟิวชั่น บ้านท่อตลาดนัดฟิวชั่น บ้านท่อ
ต้องยอมรับว่า “ค่ายสีส้ม” จะใช้เพียงพลังกระแส ในความเบื่อหน่ายรัฐบาลเพื่อไทยที่ยังแก้ปัญหาปากท้องเศรษฐกิจไม่ได้ ด้วยการเปลี่ยนแปลงนครเชียงใหม่ รวมถึงจุดแข็งในตัวเมืองที่เป็นฐานเสียงของกลุ่มคนรุ่นใหม่ เพราะมีโหวตเตอร์จากรั้ว ม.เชียงใหม่ เป็นขุมกำลังสีส้ม
ส่วน “อัศนี” ได้หมายเลข 3 ชูแคมเปญ “เชียงใหม่ ใหม่เสมอ” อาศัยยี่ห้อ “นายใหญ่” และ “แบรนด์เพื่อไทย” หวังรักษาเก้าอี้ฐานเสียงในตัวเมืองนครเชียงใหม่อีกครั้ง เพื่อต่อยอดชัยชนะศึกนายก อบจ.ครั้งล่าสุด
“มหาสงกรานต์ปี๋ใหม่เมือง 2568” คนเมืองเชียงใหม่ได้เห็น “อัศนี” อาศัยกระแส “รัฐบาลเพื่อไทย” ด้วยการเดินตามเคียงข้างนายกฯ อิ๊งค์ และ “นายใหญ่” เล่นน้ำสงกรานต์ รวมถึงร่วมพิธีสรงน้ำพระพุทธสิหิงค์ พระคู่บ้านคู่เมืองเชียงใหม่ ที่วัดพระสิงห์วรมหาวิหาร
โหนกระแส “เพื่อไทย” ไต่ระดับปลุกกระแส “แดงไม่กินส้ม” ในตัวเมืองเชียงใหม่
ผลงานของ “อัศนี” ในรอบ 4 ปีที่ผ่านมาจะเน้นการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม เพราะได้สร้างอัตลักษณ์ชุมชนด้วยการพัฒนาเนรมิต “คลองแม่ข่า” เป็นแหล่งท่องเที่ยวรับเทศกาล “ยี่เป็ง”
อย่างไรก็ตาม พรรคเพื่อไทยอาจกระทบต่อคะแนนจัดตั้งอยู่บ้างเพราะมีคู่แข่งอีกปีก คือ "ปนันรัตน์ วิริยะกุลศานต์" หรือ "หยก" ลูกสาว "เจ๊ปุ๊ย" วิภาวัลย์ วรพุฒิพงค์ อดีตรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ ลงสมัครในนาม "กลุ่มเพื่อเชียงใหม่" ซึ่งก่อนหน้านี้ "หยก" ยังใช้โลโก้ "พรรคเพื่อไทย" ลงพื้นที่ แต่เมื่อบ้านใหญ่ "ชินวัตร" เลือก "นายกหน่อย" ทำให้ "หยก" ต้องถอดเสื้อแดงออกลงสมัครในนามอิสระ ชูแคมเปญ "เมืองแห่งความสุข นครของทุกชีวิต” เป็นนายกของทุกสี พร้อมทำงานได้กับทุกคน
ซึ่งมีการประเมินว่า ทั้ง "อัศนี" และ "ปนันรัตน์" ต่างมีฐานเสียงเดียวกัน เพราะ "หยก" ลุยทำพื้นที่ก่อนหน้านี้ และคาดหวังจะได้ลงสมัครภายใต้แบรนด์ "พรรคเพื่อไทย"
ในขณะที่พรรคสีส้มจะเป็นต่อเพียงเก้าอี้ สส.ในตัวเมือง เขต 1 เท่านั้น คือ “เพชรรัตน์ ใหม่ชมภู” สส.เชียงใหม่ พรรคประชาชน
วงในพรรคสีส้มประเมินสถานการณ์ว่า ตัวผู้สมัครแม้ครั้งก่อนลงสมัครในนามคณะก้าวหน้า ได้มาที่ 3 เพราะยังไม่มีประสบการณ์การเมืองท้องถิ่น แต่รอบนี้มั่นใจว่าจะตรึงกำลังฐานเสียงสีส้มไว้ให้ได้กว่า 23,000 แต้ม ในรอบเขตเทศบาลที่เคยเอาชนะพรรคเพื่อไทย ในการเลือกตั้ง นายก อบจ. ผสมกับคะแนนสวิงโหวต อีกทั้งวันเลือกตั้งเป็นวันอาทิตย์ จะส่งผลให้พรรคประชาชนปักธงยึดเก้าอี้นายกเล็กกลางนครเชียงใหม่ได้
ทว่า การเลือกตั้งท้องถิ่นมีความแตกต่างจากการเลือกตั้งระดับชาติ เพราะความตื่นตัวของผู้มีสิทธิเลือกตั้งย่อมไม่สูงเท่าการเลือกตั้ง สส.
“เพื่อไทย” จึงเป็นต่อในตัวเทศบาลนครเชียงใหม่ เพราะได้เปรียบทั้งพลังจัดตั้ง อีกทั้งยังมีกลไกนายก อบจ.เชียงใหม่ รวมถึงนายกคนเดิมลงสมัครอีกครั้ง เอื้อต่อการใช้ยุทธวิธีเพื่อรักษาฐานที่มั่นตัวเมืองให้กับ “อัศนี”
ปฏิเสธไม่ได้ว่ากลไกที่ทำให้ “นายกก๊อง” คว้าชัยจากการเลือกตั้งนายก อบจ.เชียงใหม่ ส่วนหนึ่งก็ได้พลังจัดตั้งพื้นที่รอบนอกตามชนบท
ขณะเดียวกัน "นายใหญ่" เพื่อไทย นายกฯ ทักษิณ มีคิวเตรียมลงพื้นที่ปราศรัยใหญ่แบบจัดเต็มในวันอาทิตย์ที่ 27 เม.ย. 2568 เพื่อช่วย "อัศนี"
ส่วนพรรคประชาชน อาศัยยุทธวิธีเน้นปราศรัยหาเสียงเพื่อชิงพลังกระแสจากคะแนนจัดตั้งฝั่งตรงข้าม โดยมีแกนนำพรรคลงพื้นที่ดาวกระจาย ภายใต้การขับเคลื่อนของคีย์แมน ควบคู่การเดินในพื้นที่ของ สส.เชียงใหม่ เพื่อสะท้อนการเปลี่ยนแปลงตัวนายกเล็ก
พลิกคะแนน ตัวเมืองเชียงใหม่ 5 เขต จากผลเลือกตั้งนายก อบจ.เชียงใหม่ ปี 2568 พบว่า “พันธุ์อาจ” จากพรรคประชาชน เอาชนะทั้ง 5 เขต
ไล่ตั้งแต่ เขต 1 พันธุ์อาจ ชนะ5,945 คะแนน พิชัย 5,335 คะแนน เขต 2 พันธุ์อาจ ชนะ 8,501 คะแนน พิชัย 6,445 คะแนน เขต 3 พันธุ์อาจ ชนะ 11,078 คะแนน พิชัย 7,955 คะแนน เขต 4 พันธุ์อาจ ชนะ 9,943 คะแนน พิชัย 6,544 คะแนน และ เขต 5 พันธุ์อาจ ชนะ 9,988 คะแนน พิชัย 7,823 คะแนน
ผลเลือกตั้งนายก อบจ.เชียงใหม่ในตัวเมือง นาทีนี้ คนเมืองเชียงใหม่ ได้เปลี่ยนไปกินส้มกันแล้ว
เทียบกับกำลังภายใน และความเป็นแชมป์เก่าของ “อัศนี” ที่ครองอำนาจนายกเล็กเชียงใหม่ มา 4 ปี ก็ไม่ใช่งานง่ายสำหรับ “พรรคประชาชน”
หากนายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่ยังอยู่กับ “เพื่อไทย” แน่นอนว่า “นายใหญ่” จะยิ่งฮึกเหิม ทวงคืนศรัทธา “เพื่อไทย” ใน จ.เชียงใหม่ให้กลับคืนมา ปูทางไปถึงเลือกตั้งใหญ่ปี 2570
แต่หากพ่ายพลัง “แดงกินส้ม” ย่อมสะท้อนอนาคตได้ว่า การเลือกตั้งระดับชาติ จ.เชียงใหม่ ไม่ใช่เมืองหลวงที่ “ชินวัตร”จะยึดครองได้ง่ายอีกต่อไป