รู้จัก ‘พิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส’ มือปราบ สตง. ก่อนปมฮวงจุ้ยสร้างตึก

ทำความรู้จัก “พิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส” อดีตผู้ว่าฯ สตง.มือปราบคอร์รัปชัน ก่อนหลุดปากพูดปม “ฮวงจุ้ย” หลังตึก สตง.ถล่ม เคยเป็น “มือขวา” คุณหญิงจารุวรรณ ก่อนขัดแย้งภายใน
KEY
POINTS
- ทำความรู้จัก “พิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส” อดีตผู้ว่าฯ สตง.มือปราบคอร์รัปชัน ก่อนหลุดปากพูดปม “ฮวงจุ้ย” หลังตึก สตง.ถล่ม
- อดีตเคยเป็น “มือขวา” คุณหญิงจารุวรรณ ก่อนขัดแย้งภายใน ถูกดันขึ้นมามีบทบาทแทน
- ช่วงยุคเขาเป็นผู้ว่าฯ สตง.ลุยสอบ 2 เรื่องสำคัญ “โครงการไฟ กทม.” ยุค “คุณชายหมู” 39.5 ล้าน พร้อมเงื่อนงำการใช้งบ “อุทยานราชภักดิ์”
- ต่อมาปี 60 ถูก คสช.ใช้คำสั่ง ม.44 ให้พ้นเก้าอี้ เหตุจัดระเบียบวาระดำรงตำแหน่งใหม่
ชื่อของ “พิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส” อดีตผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน (ผู้ว่าฯ สตง.) กำลังกลายเป็น “ตำบลกระสุนตก” อีกครั้ง พลันที่เอ่ยปากว่า “ตึก สตง. จตุจักรที่ถล่ม เป็นเพราะผมเลือกฮวงจุ้ยไม่ดีเอง ต้องขอภัยด้วย” ตามที่ “ติ่งข่าว เวิรค์พอยท์” รายงาน
อดีตผู้ว่าฯ สตง.รายนี้ ยังอธิบายเพิ่มเติมว่า ขณะดำรงตำแหน่งเขาเป็นผู้มีบทบาทในการคัดเลือกสถานที่ก่อสร้างสำนักงานดังกล่าว และในตอนนั้น ให้ความสำคัญกับหลักฮวงจุ้ยเป็นพิเศษ ซึ่งเมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ เขารู้สึกเสียใจและยอมรับความรับผิดชอบในส่วนของตน
ด้วยคำพูดดังกล่าวทำให้สาธารณชนพุ่งเป้าวิพากษ์วิจารณ์โจมตีเขาอย่างหนัก โดยเฉพาะเรื่องฮวงจุ้ย ซึ่งไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้ แต่ประเด็นเรื่องตึก สตง.ถล่มครั้งนี้ น่าจะเกิดจากความไม่ชอบมาพากลในการใช้งบประมาณแผ่นดินหรือไม่ต่างหาก?
ประวัติส่วนตัว “พิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส” จบนิติศาสตร์มหาบัณฑิต ม.รามคำแหง ได้ประกาศนียบัตรบัณฑิตทางกฎหมายมหาชน ม.ธรรมศาสตร์ จบรัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ เคยเข้าร่วมเรียนหลักสูตร “คอนเนกชั่น” ทั้ง วปอ.ปี 2548 หลักสูตร บยส. รุ่น 16 หลักสูตร นธป. รุ่น 4 หลักสูตร วพน.รุ่น 2
ทำงานเป็น “ลูกหม้อ” ของ สตง.มาตั้งแต่ยุคแรก โดยไต่เต้ามาจาก ผอ.สำนักงานการตรวจสอบกิจการพิเศษ ขึ้นมาเป็น ผอ.สตง.ภาค 5 ขึ้นเป็น ผอ.สำนักกฎหมาย และเป็นรองผู้ว่าฯ สตง. “มือขวา” ของคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑะกา กระทั่งเกิดความขัดแย้งภายใน ได้ก้าวขึ้นสู่รักษาการผู้ว่าฯ สตง. และขึ้นเป็นผู้ว่าฯ สตง.ในท้ายสุด
ชื่อของ “พิศิษฐ์” อาจไม่คุ้นหูคนที่เพิ่งมาติดตามการเมืองไทยยุคนี้สักเท่าไหร่ แต่ถ้าย้อนกลับไปราว 20 ปีก่อน “พิศิษฐ์” คือผู้ที่มีบทบาทสำคัญในองคาพยพการตรวจสอบ “นักการเมือง” โดยเขาเคยเป็น “มือขวา” ของ “คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑะกา” อดีตผู้ว่าฯ สตง. ที่ดำรงตำแหน่งมายาวนานเกือบ 10 ปี (2544-2553) ในยุคสมัยนั้น “พิศิษฐ์” ถือเป็นมือตรวจสอบทางการเงินคนสำคัญของ สตง. โดยเฉพาะเรื่อง “ภาษี” ที่เกี่ยวกับ “ตระกูลชินวัตร” และนโยบายอื่น ๆ ของรัฐบาล
อย่างไรก็ดีช่วงโค้งสุดท้ายในตำแหน่งของ “คุณหญิงจารุวรรณ” ที่คณะกรรมการกฤษฎีกา วินิจฉัยว่าไม่อาจอยู่ในตำแหน่งเพิ่มเติมได้อีก เนื่องจากอายุครบกำหนด 65 ปี จึงเกิด “คลื่นใต้น้ำ” ภายใน สตง. กระทั่งมีการฟ้องถึงศาลปกครอง และในปี 2553 ศาลวินิจฉัยให้ “คุณหญิงจารุวรรณ” พ้นเก้าอี้ “พิศิษฐ์” จึงผงาดขึ้นมามีบทบาทนำใน สตง. โดยเขาถูกแต่งตั้งให้รักษาการผู้ว่าฯ สตง.ลากยาวมาหลายปี กระทั่งปี 2557 หลังการรัฐประหาร เขาถูกเลือกให้ขึ้นเป็นผู้ว่าฯ สตง.อย่างเป็นทางการ
ระหว่างปี 2557-2560 เขามีบทบาทสำคัญในการเข้าไป “ชำระสะสาง” สารพัดปัญหาของอดีต “รัฐบาลนารีขี่ม้าขาว” โดย สตง.เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของ “ศอตช.” ศูนย์รวมองค์กรอิสระ-หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวกับการตรวจสอบภายหลังการรัฐประหาร 2557 ซึ่งมีบทบาทคล้ายคลึงกับ “คตส.” ภายหลังการรัฐประหารปี 2549
บทบาทสำคัญของ “พิศิษฐ์” ในช่วงนั้น เท่าที่สาธารณชนน่าจะยังจำกันได้มี 2 เรื่อง
1.การเข้าไปตรวจสอบความไม่ชอบมาพากล โครงการค่าใช้จ่ายในการประดับตกแต่งไฟฟ้าเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว (Motif of Light) ของสำนักวัฒนธรรมกีฬาและการท่องเที่ยว กทม. วงเงิน 39.5 ล้านบาท ในยุค “ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร” เป็นผู้ว่าฯ กทม. โดย สตง.ตรวจสอบแล้วพบว่า อาจมีเรื่องการฮั้วเอกชนเข้าไปก่อสร้าง และการใช้งบประมาณไม่โปร่งใส หลังจากนั้นได้ชงคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) ชี้มูล และสำนวนกล่าวหา “ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์” พร้อมพวกที่เป็นรองผู้ว่าฯ กทม. ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่รัฐ ที่เกี่ยวข้องในเรื่องดังกล่าว ให้แก่สำนักงาน ป.ป.ช.ไต่สวนต่อ
เรื่องนี้เป็นข่าวใหญ่คึกโครมในช่วงปลายปี 2558-ปี 2559 ซึ่งระหว่างถูกตรวจสอบจากองค์กรต่าง ๆ นั้น เมื่อเดือน ต.ค. 2559 “ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์” ถูก คสช.ใช้มาตรา 44 เด้งพ้นเก้าอี้อีกด้วย
แม้ว่าต่อมาในปี 2560 คณะกรรมการ ป.ป.ช.จะมีมติชี้มูลความผิด 4 เจ้าหน้าที่ กทม. กล่าวหาว่าทุจริตในการจัดทำโครงการดังกล่าวก็ตาม แต่ชื่อของ “ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์” และรองผู้ว่าฯ กทม.ก็รอดพ้นบ่วงไป เนื่องจากพยานหลักฐานไปไม่ถึง และในเวลาต่อมา "พิศิษฐ์" ได้ขอโทษ "คุณชายหมู" หลังถูกฟ้องหมิ่นประมาทอีกด้วย
2.โครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ จ.ประจวบคีรีขันธ์ ที่ดำเนินการโดยกองทัพบก (ทบ.) เป็นข่าวคึกโครมปี 2557-2558 แม้ว่าโครงการนี้ส่วนใหญ่จะใช้เงินบริจาคจากภาคเอกชนเป็นหลัก แต่มีการใช้ “เงินหลวง” บางส่วนในการเข้าไปจัดซื้อจัดจ้าง หรือก่อสร้างด้วย โดย สตง.โฟกัสเฉพาะเรื่องการใช้ “เงินหลวง” ที่ถูกใช้ในการก่อสร้างในอุทยานแห่งนี้ว่า โปร่งใสหรือไม่ และมีประเด็นเรื่อง “หักหัวคิว” หรือไม่
เพราะเงื่อนปมในการก่อสร้างอุทยานแห่งนี้ พบพฤติการณ์ว่า มีการใช้เงินบริจาคของเอกชน-ประชาชน มาว่าจ้างเอกชนก่อสร้าง อย่างไรก็ดีกลับมีการเบิก “งบหลวง" มาก่อสร้างซ้ำซ้อนกับที่เคยสร้างไปแล้ว ทำให้ส่อใช้เงินไม่คุ้มค่า และไม่ตรงวัตถุประสงค์
อย่างไรก็ดีการตรวจสอบอุทยานราชภักดิ์แห่งนี้ มิได้ถูกดำเนินการโดย สตง.แค่แห่งเดียว แต่ดำเนินการโดย ศอตช.ซึ่งเป็นการรวบรวมองค์กรอิสระ-หน่วยงานตรวจสอบเข้าด้วยกัน ต่อมามีการชงเรื่องไปยังสำนักงาน ป.ป.ช.เพื่อไต่สวนต่อ แต่ต่อมาในปี 2559 คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติ “เอกฉันท์” 9:0 เสียง ยกคำร้องกล่าวหา เนื่องจากไม่พบความผิดปกติในการใช้งบประมาณก่อสร้างแต่อย่างใด
ทั้ง 2 เรื่องข้างต้นล้วนมี “พิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส” อดีตผู้ว่าฯ สตง. เป็นหนึ่งในผู้มีบทบาทสำคัญในการเข้าไปตรวจสอบทั้งสิ้น แม้ว่าในขั้นตอนสุดท้าย เขาจะไม่ได้เป็นผู้ชี้ขาดก็ตาม
ภายหลังพ้นเก้าอี้ผู้ว่าฯ สตง.จากคำสั่งมาตรา 44 ของ คสช.เมื่อปี 2560 แล้ว “พิศิษฐ์” พยายามจะสมัครกลับเข้าเป็นผู้ว่าฯ สตง.อีก แต่ถูก สนช.ปิดช่องทางไว้ ทำให้ไม่ได้รับการสรรหา หลังจากนั้นเขาก็ขับเคลื่อนงานภารกิจตรวจสอบอยู่นอกองค์กร โดยมักถูกเชิญเป็น “ผู้ทรงคุณวุฒิ” เข้าไปนั่งในบอร์ดตรวจสอบหน่วยงานรัฐ หรือโครงการของรัฐหลายแห่ง กระทั่งกลับมามีชื่ออีกครั้งเมื่อเกิดเหตุตึก สตง.ถล่ม






