‘เพื่อไทย’ขยับ ‘พรรคร่วม’? ลุ้นเส้นทางอันตราย 'รัฐบาล'

ความขัดแย้งระหว่าง "พท.-ภท." ปมกาสิโน ถูกจับตาว่า จะมีการเขี่ยบางพรรคออกไปหรือไม่ ทว่าเมื่อดูตัวเลข สส. กับแง่ทำงานที่ราบรื่น ทั้งงานสภาฯ และ รัฐบาล อาจทำแบบนั้นไม่ได้
KEY
POINTS
Key Point :
- ความไม่ลงรอยใน ร่างกฎหมายเอนเทอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ระหว่าง "พท." กับ "ภท."
- กลายเป็นชนวนให้ต้องติดตามว่า จะกระทบไปยังเสถียรภาพของรัฐบาล-แพทองธาร ชินวัตร หรือไม่
- ล่าสุด "วันนอร์" ออกมาพูดถึงเรื่องนี้ และมองว่าไม่มีอะไรการันตีความมั่นคงของรัฐบาล
- สิ่งที่ถูกจับตามองจากนี้คือการ ขยับพรรคร่วม โดย เขี่ย "ภท." ออกจากสมการของรัฐบาลข้ามขั้ว
- ทว่าด้วยสัดส่วนของ "สส." ร่วมรัฐบาล อาจเป็นงานยาก เพราะตัวเลขของเสียงที่ทำให้ "เสียงข้างมาก" ไม่ชนะขาด
- และหากเขี่ย "ภท." ออก อาจเพิ่มความปวดหัวให้ "แพทองธาร" มากขึ้น
- หรือหาก ดึง "พรรคส้ม" เข้าร่วม อาจทำให้มีปัญหาบานปลาย
- ดังนั้นสมติฐานที่เป็นไปได้ คือ "ทนอยู่" กันแบบนี้ แล้วใช้การต่อรอง ปันประโยชน์ถึงกัน
- ไปจนกว่า "พท." สามารถสะสมคะแนนนิยม เอาชนะการเลือกตั้งครั้งหน้า และตั้งรัฐบาลพรรคเดียวให้ได้
แม้จะเป็นช่วงปิดสมัยประชุมสภาฯ ความเคลื่อนไหวทางการเมือง ยังมีสัญญาณที่ต้องจับตา เพราะมีแรงกระเพื่อมจากควันหลง “ร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร” หรือ เอนเทอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ที่แกนนำ 2 พรรคร่วมรัฐบาล สร้างประเด็นที่ทำให้เกิดความกินแหนงแคลงใจ
ต้องยอมรับว่า “นโยบายเอนเทอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์” ที่พ่วงกาสิโน 10% นั้น เป็นโมเดลที่ “รัฐบาล-เพื่อไทย” ถือเป็นนโยบายเรือธง หวังเป็นแหล่งรายได้ใหม่ จากการลงทุนเรื่องนี้
ทว่า พรรคการเมืองในสภาฯ โดยเฉพาะ “พรรคร่วมรัฐบาล” ยังคงไม่เห็นด้วย เนื่องจากเนื้อหาของร่างกฎหมายเอนเทอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ที่ชงต่อสภาฯ นั้นยังมีข้อบกพร่อง โดยเฉพาะในแง่มุมของสังคมที่อาจมีผลกระทบจาก “กาสิโนเสรี” ที่อนุญาตให้เปิดได้ตามกฎหมาย รวมถึงการอุดช่อง “ทุนเทา-การฟอกเงิน” ที่ยังหวั่นเกรงในแง่ “ประสิทธิภาพ” ของการควบคุม
โดยขณะนี้ มีพรรคการเมืองร่วมรัฐบาล อย่างน้อย 2 พรรคที่แสดงจุดยืนว่า “ไม่เอา” คือ “พรรคประชาชาติ” ซึ่งมีเหตุผลในทางการเมืองเชิงพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้และการขัดหลักของศาสนาอิสลาม
และ “พรรคภูมิใจไทย” ที่ “ไชยชนก ชิดชอบ” เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย ใช้เอกสิทธิ์ประกาศไม่สนับสนุนกลางสภาฯ เมื่อ 9 เม.ย. ที่ผ่านมา
หากจับทางต่อประเด็นนี้ “วันมูหะมัดนอร์ มะทา” ประธานสภาฯ ฐานะผู้นำทางจิตวิญญาณของพรรคประชาชาติ ยังมองในเรื่องเสถียรภาพของรัฐบาลว่า “ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ไม่สามารถบอกได้ว่ามั่นคงตลอดไป เพราะเป็นเรื่องการเมืองต้องมีทั้งบนดิน ใต้ดิน และบนฟ้า ซึ่งจะมั่นคงระดับหนึ่ง แต่จะบอกว่ามั่นคงตลอดไปไม่ได้”
ส่วนการเข็นร่างกฎหมายที่เห็นต่างระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลขณะนี้ “ประธานสภาฯ” มองว่า รัฐบาลมี 300 เสียง เพียงพอต่อการลงมติ แต่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งรัฐบาลมีปัญหาลักษณะนี้มาโดยตลอด และเป็นเรื่องปกติ แต่การตัดสินใจสุดท้าย จะอยู่ที่ประชาชนที่จะตัดสินในการเลือกตั้งต่อไป
ดังนั้นจากสิ่งที่ “วันนอร์” ฐานะนักการเมืองอาวุโสมากประสบการณ์มอง เชื่อได้ว่าหาก “ผู้มากบารมีของพรรคร่วมรัฐบาล เพิกเฉยต่อความขัดแย้งที่เกิดขึ้น อาจมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้”
ทว่า ในทิศทางของ “รัฐบาลพรรคเพื่อไทย” ที่จำเป็นต้องรักษาหน้าเอาไว้ แนวคิดที่ว่าจะยุบสภาเร็วๆ นี้ เพื่อไปวัดดวงในการเลือกตั้งครั้งต่อไป จังหวะนี้อาจยังไม่เหมาะที่สุด เพราะผลงานการบริหารราชการแผ่นดินยังไม่เข้าตา รวมถึงการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ สังคม ยังไม่ทำให้ประชาชนเชื่อมั่นและเชื่อมือได้
ดังนั้น หากจะเกิดการเปลี่ยนแปลง สิ่งที่ถูกจับตา คือ “การขยับ” พรรคร่วมรัฐบาล โดยต้องยังคงรักษาเสียงข้างมากในสภาฯ เอาไว้
ปัจจุบัน มีสส.ที่ปฏิบัติหน้าที่ได้ 494 คน แบ่งเป็น ฝั่งพรรคร่วมรัฐบาล 11 พรรค ได้แก่ พรรคเพื่อไทย 142 คน พรรคภูมิใจไทย 69 คน พรรครวมไทยสร้างชาติ 36 คน พรรคประชาธิปัตย์ 25 คน พรรคกล้าธรรม 24 คน พรรคชาติไทยพัฒนา 10 คน พรรคประชาชาติ 9 คน พรรคชาติพัฒนา 3 คน พรรคไทรวมพลัง 2 คน พรรคเสรีรวมไทย 1 คนและพรรคประชาธิปไตยใหม่ 1 คน รวม 322 คน
ทั้งนี้ยังมี “สส.งูเห่า” ที่ถูกเกณฑ์ให้มาอยู่ฝั่งรัฐบาลอีก 7 เสียง คือ พรรคพลังประชารัฐ 1 คน พรรคไทยสร้างไทย 5 คน พรรคไทยก้าวหน้า 1 คน ทำให้เสียงของฝั่งรัฐบาลมี 329 เสียง
ขณะที่ฝั่งพรรคร่วมฝ่ายค้าน 5 พรรค ได้แก่ พรรคประชาชน 143 คน พรรคพลังประชารัฐ 20 คน พรรคเป็นธรรม 1 คน และ พรรคไทยสร้างไทยที่จุดยืนอยู่ฝ่ายค้าน 1 คน รวม165 คน
ดังนั้นหากเกิดกรณีที่ต้องขับ “พรรคภูมิใจไทย” ออกจากพรรคร่วมรัฐบาลจริง จะทำให้เสียงของ สส.รัฐบาลคงมี 260 เสียง ส่วนฝ่ายค้านจะมี 234 คน ส่วนที่ต่างกันคือ 26 เสียง
ด้วยระยะห่างที่มีหลักสิบนั้น หากมองเกมในสภาฯแล้ว จะยิ่งเพิ่มความไม่แน่นอนของการทำงาน เพราะจะทำให้เกิดการต่อรองในพรรคร่วมรัฐบาลมากขึ้น ขณะเดียวกันจะเป็นการเพิ่มความ “อหังการ์” ของพรรคประชาชน
ดังนั้นในมุมที่นักวิเคราะห์การเมืองมองว่า โอกาสเปลี่ยนพรรคร่วมรัฐบาล โอกาสแทบจะเป็นไปไม่ได้ แม้ว่า “พรรคประชาชน” จะมีคนเบื้องหลังที่เกี่ยวดองกับ “ผู้มากบารมีของเพื่อไทย” ทว่า บรรดา สส.ของพรรคนั้นได้แสดงจุดยืนต่อกันแล้วว่า “จะไม่เผาผี”
ดังนั้นหากโมเดล “แดงกินส้ม” ดึงเสียงมาสนับสนุนเพื่อให้เป็นรัฐบาลเกิน 300 เสียงเหมือนเดิม ในความเป็นจริงอาจเพิ่มความปวดหัวให้กับ แพทองธาร ชินวัตร มากกว่า อีกทั้งพรรคส้มขณะนี้ยังต้องเผชิญวิบากกรรมจาก “ม.112” จึงอาจสร้างปัญหาให้รัฐบาลได้
และหากจับสัญญาณนี้ กับสิ่งที่ “นายใหญ่เพื่อไทย-ทักษิณ ชินวัตร" ตอบคำถามสื่อมวลชน ที่จ.เชียงใหม่ เมื่อ 13 เม.ย. ต่อประเด็นการเข็นร่างกฎหมายเอนเทอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ให้ผ่านด่าน “รัฐสภา” ซึ่งยังติดด่าน “สว.” ที่รู้กันว่า อยู่ในขั้วสีน้ำเงิน “นายใหญ่” ระบุว่า “รัฐบาลมีเสียงเพียงพอ แต่รัฐบาลต้องการฟังเสียงประชาชน เพื่อให้มั่นใจว่าประชาชนส่วนใหญ่ไม่ขัดข้อง”
ขณะเดียวกันยังได้ตอบประเด็นการร่วมหัวจมท้ายของ “พรรคภูมิใจไทย” ไปจนครบเทอมรัฐบาล โดย “ทักษิณ” ตอบว่า “เรื่องครบไม่มีปัญหาแล้ว วันนี้ไม่มีปัญหาอะไร เพราะพรรคภูมิใจไทยเป็นพรรคร่วมรัฐบาล เป็นพรรคใหญ่อันดับสองของพรรคร่วมรัฐบาล ขณะที่รัฐบาลมีเสียงมากพอ และพรรคภูมิใจไทยรู้ดีว่าไม่มีปัญหาอะไร อาจมีไม่เข้าใจกันบ้าง”
ดังนั้น สิ่งที่อาจจะเป็นฉากต่อไปของ “การเมือง” ที่เป็น “รัฐบาลข้ามขั้ว” อาจต้องจำใจอยู่ร่วมกันไปแบบนี้ และใช้การเจรจาเพื่อหา “ประโยชน์ร่วมกัน” ไม่ใช่ ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง “กินรวบ”
เพื่อประคอง “รัฐบาลแพทองธาร” ให้อยู่ได้นานที่สุด จนกว่าจะเข็นนโยบายเรือธง หอบคะแนนนิยมที่มากพอ เพื่อเอาชนะเลือกตั้งรอบหน้า เป็น “รัฐบาลพรรคเดียว” ตามที่นายใหญ่หวังไว้.







