'อภิสิทธิ์' อ่านเกม'ยุบสภา' พท.เสียเปรียบ จับตาฉากต่อรอง 'แดง-น้ำเงิน'

'อภิสิทธิ์' อ่านเกม'ยุบสภา' เพื่อไทยเสียเปรียบ พรรคร่วมรัฐบาลยังไม่พร้อมแตกหัก เชื่อปมร้าวรัฐบาลฉากต่อรอง 'แดง-น้ำเงิน'
นายอภิสิทธิ์ เวชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรีและอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ"ขอนอกเวลา" ออกอากาศทางNation22 ประเมินทิศทางการเมือง ท่ามกลางกระแสต่อรองในขั้วรัฐบาล โดยเฉพาะกรณีที่นายไชยชนก ชิดชอบ เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย ประกาศกลางสภาไม่มีวันเห็นด้วยกับกาสิโน มองว่า ที่พูดมามีความชัดเจนพอสมควร แต่อย่าลืมในช่วงปลายรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน พรรคภูมิใจไทยเองเป็นพรรคที่มาตั้งโต๊ะแถลงว่าไม่เห็นด้วยกับเรื่องกาสิโน แต่พอเปลี่ยนนายกรัฐมนตรี และมีความพยายามในการผลักดันเรื่องนี้อย่างจริงจังมากขึ้น ก็กลายเป็นพรรคภูมิใจไทยก็เงียบไป แต่ก็มีข่าวคราวตลอดว่ามีเรื่องการพนันออนไลน์คาบเกี่ยวกันกลายเป็นอำนาจที่อยู่ในกระทรวงมหาดไทย ซึ่งพรรคภูมิใจไทยรับผิดชอบ
เรื่องนี้จึงถูกมองว่ามีลักษณะของการต่อรองหรือไม่อย่างไร ยิ่งล่าสุดมีความพยายามในการผลักดันกฎหมายกาสิโน มาแซงคิวกฎหมายนิรโทษกรรมอีกซึ่งอยู่ในสมการที่มีพรรคร่วมรัฐบาลบางพรรคต้องการพูดตรงๆคือพรรครวมไทยสร้างชาติ ฝ่ายค้านก็ต้องการเหมือนกันแต่คนละฉบับ ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าร่างของฝ่ายค้านจะไม่ได้รับการสนับสนุน วันนี้เชื่อว่าน่าเป็นจุดที่รัฐบาลมีเวลาหายใจ
นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวว่า ขณะนี้รัฐบาลก็ยอมที่จะเลื่อนวาระออกไป ขณะเดียวกัน ยังมีกรณีที่ "โดนัลด์ ทรัมป์" ประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ประกาศระงับการขึ้นภาษีตอบโต้ชั่วคราว 90 วัน ฉะนั้นหลังปิดสภารัฐบาลก็น่าจะมีเวลาหายใจตั้งหลัก หรือหากเป็นเรื่องในรัฐบาลก็น่าจะมีการเจรจาต่อรองกัน
เมื่อถามว่า ท่าทีพรรคภูมิใจไทย ซึ่งถูกตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการเล่นเกมสองหน้า คือนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและรมว.มหาดไทยในฐานะหัวหน้าพรรค ที่พูดถึงมติครม.ที่หนุนเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ แต่มีนายไชยชนก ที่ไม่เอาด้วยกับกาสิโน เป็นการหวังผลไปถึงคะแนนฝั่งอนุรักษนิยมที่ไม่เอากาสิโนหรือไม่ อดีตนายกฯ กล่าวว่า ถ้าย้อนไปดูเขาเคยประกาศไปเอาตั้งแต่ต้น ตั้งแต่ปลายรัฐบาลนายกฯเศรษฐา
ดังนั้นก็กลายเป็นความย้อนแย้งในพรรคอยู่แล้วเพราะเขาเคยประกาศแต่เขาอยู่ในครม.ซึ่งนโยบายนี้เพื่อไทยมองว่าเป็นนโนยายสำคัญเร่งด่วนก็เลยเกิดความย้อนแย้งอยู่ในตัว พอมีกระแสกดดันออกมาแรงก็กลายเป็นแรงกดดันกับทุกพรรคการเมือง
ทั้งนี้กระแสคัดค้าน1-2สัปดาห์ที่ผ่านมาดูเหมือนจะแรงกว่าที่มีการประเมินไว้ เห็นได้จากการที่กลุ่มบุคคล องค์กรหลายองค์กร ออกมาเคลื่อนไหวพร้อมกัน บังเอิญกับที่มีเหตุเร่งด่วนของประเทศทั้งเรื่องแผ่นดินไหว และเรื่องภาษีทรัมป์ก็ยิ่งทำให้รุนแรงมากยิ่งขึ้น
“ความจริงผมก็ถือว่าคนที่อยู่ในซีกที่เรียกตัวเองว่า อนุรักษนิยมปัจจุบันภูมิใจไทยก็กลายเป็นพรรคที่ใหญ่ที่สุดเพราะฉะนั้นก็เป็นการช่วงชิงรักษาฐานกันด้วย จริงๆก็ไม่ผิดแต่คำถามคือจะทำให้กลมกลืนกับพรรคแกนนำอย่างไร ”
นายอภิสิทธิ์ มองว่า การที่รัฐบาลเร่งเดินหน้าเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ และได้รับการสนับสนุนจากวิปฯ จากเสียงในสภาในการเลื่อนวาระ มันก็เหมือนกับว่าเขาได้ตัดสินใจเดินหน้าแล้ว แต่การที่มาเลื่อนออกไปแสดงให้เห็นว่าระหว่างทางน่าจะมีปัญหากับพรรคร่วมอย่างชัดเจน
เพราะถ้าพูดถึงกระแสสังคมก็มีมาระยะหนึ่งแล้วถ้าพรรคร่วมใจแข็งผ่านสภาเข้าไปก็มีขั้นตอนในส่วนของกมธ.ที่จะไปประเมินอีกครั้งว่ากระแสต่อต้านจะเป็นอย่างไร ส่วนเรื่องสว.คิดว่ายังไกลเกินไปเพราะกว่าจะไปถึงชั้นนั้นก็ต้องผ่านสภาก่อนอย่างน้อยต้องเป็นสมัยประชุมหน้าฉะนั้นจึงเป็นเรื่องพรรคร่วมรัฐบาลอย่างชัดเจน
อดีตนายกฯ ยังประเมินถึงกระแสข่าวการยุบสภาว่า คนที่เป็นรัฐบาลถ้าจะยุบสภาน่าจะต้องประเมินในสถานการณ์ที่ตนเองได้เปรียบ หรือย่างน้อยมีข้อผูกมัดที่ได้ตกลงอะไรกับใครหรือสัญญากับประชาชนไว้
“การยุบสภาและเข้าสู่การเลือกตั้งในภาวะที่กำลังถูกโจมตีมากๆและถูกมองว่าเสียเปรียบจะยุบทำไม ผมเชื่อว่าการปิดสมัยประชุมสภาฯ และมีเวลา90วันในเรื่องของทรัมป์จะเป็นเวลาที่จะทำให้รัฐบาลมีเวลาหายใจและไปตั้งหลักหรือเจรจาประนีประนอม”
อดีตนายกฯ มองไปถึงกระแสข่าวปรับครม.รวมถึงการปรับพรรคร่วมบางพรรคว่า ยังเชื่อว่าเขาต้องประคับประคองเพื่อไม่ให้สร้างเงื่อนไขกันไปมากกว่านี้ ตราบใดที่พรรคต่างๆที่เป็นรัฐบาล ไม่พร้อมที่จะสลับขั้วเปลี่ยนขั้วกันอีก เมื่อใดที่รัฐบาลไปด้วยกันไม่ได้ก็ต้องไปเลือกตั้ง แต่เงื่อนไขดังกล่าวจะเกิดขึ้นต่อเมื่อมีพรรคหนึ่งพรรคใดในรัฐบาลคิดว่า ไปเลือกตั้งแล้วดี เมื่อนั้นจึงจะเห็นภาพการแตกหักกัน







