การทุจริตเชิงนโยบาย

ระยะนี้ หลายคนอาจจะรู้สึกอึดอัดไม่สบายใจใน นโยบายสาธารณะ (public policy) ของรัฐบางนโยบาย แต่รัฐบาลยังดึงดันที่จะทำทั้งๆ ที่มีคนวิพากษ์วิจารณ์ถึงข้อเสียของนโยบายอย่างกว้างขวาง

 เพราะเป็นนโยบายที่ไม่สามารถแสดงให้ชัดเจนว่า นโยบายนั้นเป็นไปเพื่อประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ มิใช่ประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง และไม่สามารถทำให้ประชาชนส่วนใหญ่เห็นว่า ประโยชน์ที่จะได้รับจากนโยบายคุ้มค่ากว่าต้นทุนทางเศรษฐกิจและสังคมที่เสียไป

ดังนั้น จึงเป็นเรื่องปรกติที่หลายคนจะคลางแคลงใจและคิดว่า การทำนโยบายเช่นนั้นมีความเสี่ยงต่อ “การทุจริตเชิงนโยบาย” คือทำนโยบายขึ้นมาเพื่อตนเองและพวกพ้อง ไม่ใช่เพื่อประชาชน

การทุจริตเชิงนโยบายหรือการทุจริตแบบเป็นระบบ (systemic corruption) นั้น เป็นการทุจริตที่ซับซ้อนและแยบยล ไม่เหมือนกับการทุจริตที่เราเห็นกันอยู่ทั่วไป เช่น การทุจริตในการเบิกจ่ายงบประมาณ การจัดซื้อจัดจ้าง หรือการใช้อำนาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐ เป็นต้น

ทั้งนี้ เพราะการทุจริตเชิงนโยบายจะอาศัยความชอบธรรมทางกฎหมาย ที่รัฐมีอำนาจในการออกกฎหมาย มีอำนาจในการกำหนดนโยบายสาธารณะ และมีอำนาจในการกำกับดูแลหน่วยงานของรัฐให้นำนโยบายไปปฏิบัติ เพื่อทำนโยบายที่เป็นประโยชน์กับตัวเองและพวกพ้อง มากกว่าที่จะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนอย่างแท้จริง

ที่สำคัญคือ การทุจริตเชิงนโยบายนี้ไม่สามารถพิสูจน์ความผิดโดยฝ่ายตรวจสอบ ไม่เหมือนกับกรณีการทุจริตทั่วๆ ไป ไม่มีพยานหลักฐานชัดเจนเพียงพอที่จะพิสูจน์ความผิดของผู้ออกนโยบาย จะอาศัยระบบรัฐสภาก็ทำไม่ได้หากรัฐบาลมีเสียงข้างมาก

ที่ผ่านมา เราจะเห็นผลของการทุจริตเชิงนโยบายก็ต่อเมื่อได้ทำนโยบายนั้นไปแล้ว สูญเสียงบประมาณ ทรัพยากรและโอกาสในการพัฒนาประเทศไปแล้ว

มีการทุจริตเชิงนโยบายมานาน และมีความพยายามที่จะสกัดกั้นการออกนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อตนเองและพวกพ้องแทนที่จะเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ในขั้นตอนแรกหรือขั้นตอนการออกแบบนโยบาย (policy formulation) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นโยบายที่ใช้ในการหาเสียงของพรรคการเมือง

ดังนั้น ใน พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญพรรคการเมือง มาตรา 57 จึงเขียนว่า ในการกำหนดนโยบายที่ใช้หาเสียงช่วงเลือกตั้ง พรรคการเมืองจะต้องแสดงให้เห็นว่า ในการทำนโยบายดังกล่าวนั้น 

1) มีวงเงินเท่าไร และจะใช้เงินจากแหล่งไหน 2) นโยบายมีความคุ้มค่าและมีประโยชน์อย่างไร และ 3) นโยบายนั้นจะมีผลกระทบและความเสี่ยงอย่างไร

โดยในมาตรา 224 (5) ของรัฐธรรมนูญปี 2560 ให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีอำนาจและหน้าที่ดูแลงานของพรรคการเมืองให้เป็นไปตามกฎหมาย

แต่ในความเป็นจริง กกต.ก็เพียงแต่ให้พรรคการเมืองนำส่งข้อมูลเกี่ยวกับนโยบายที่ใช้ในการหาเสียงตามมาตรา 57 ให้ครบถ้วน แต่ไม่สามารถตรวจสอบความสมเหตุสมผลของนโยบาย และไม่สามารถบอกได้ว่านโยบายนั้นๆ จะมีประโยชน์ต่อประชาชนและคุ้มค่าหรือไม่

เหมือนคุณครูที่คอยตรวจดูว่า นักเรียนส่งการบ้านครบถ้วนหรือไม่แต่ไม่สามารถตรวจว่า การบ้านที่นำส่งถูกต้องหรือไม่

กกต.คงเชื่อว่า นโยบายที่พรรคการเมืองนำมาหาเสียง ได้ผ่านการวิเคราะห์อย่างถี่ถ้วน พิจารณาข้อดี ข้อเสีย ผลกระทบและความเสี่ยงมาอย่างถูกต้องสมบูรณ์แล้ว

ไม่เช่นนั้น เราคงไม่ได้เห็นนโยบายหาเสียงที่จะแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท แก่ผู้ที่อายุ 16 ปีขึ้นไปจำนวน 56 ล้านคน คิดเป็นการใช้จ่าย 560,000 ล้านบาทโดยรัฐไม่ต้องกู้เงิน

นี่แสดงให้เห็นว่า นโยบายนี้ไม่ได้ผ่านการ “กลั่นกรอง” ตั้งแต่ผู้ที่ออกนโยบายและกกต. เพราะไม่สามารถทำได้ตามกฎหมายตั้งแต่แรก เนื่องจากผิดพระราชบัญญัติเงินตรา

ซึ่งทำให้นโยบายแจกเงินดิจิทัลที่หาเสียงไว้ในตอนแรกเปลี่ยนรูปแบบไปมาก ที่สำคัญคือต้องใช้การกู้มาแจกในที่สุด ที่มีผลต่อหนี้สาธารณะและเสถียรภาพทางการคลังของประเทศในระยะยาว

ในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา มีการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนที่มีต่อสถานบันเทิงครบวงจร (entertainment complex) ออกมาหลายสำนัก โพลส่วนใหญ่ชี้ว่าประชาชนส่วนใหญ่ไม่ต้องการให้รัฐทำโครงการนี้

มีการวิพากษ์วิจารณ์ในแวดวงวิชาการและองค์กรต่างๆ กันอย่างแพร่หลาย ถึงผลกระทบทางสังคมที่รัฐบาลไม่ควรมองข้าม 

แต่ตรงกันข้าม รัฐบาลกลับกระตือรือร้นที่จะทำโครงการสถานบันเทิงครบวงจรนี้อย่างเร่งรีบ ผิดกับนโยบายด้านอื่นๆ ที่หาเสียงไว้และที่แถลงไว้อีก 9 ข้อเมื่อวันที่ 12 ก.ย.2567

ที่สำคัญยังมีเรื่องเร่งด่วนที่จะต้องเอาใจใส่ในช่วงภัยพิบัติและมาตรการต่างๆเพื่อสร้างความเชื่อมั่นและการเตรียมตัวรับมือในอนาคต แต่รัฐบาลก็เร่งรีบในทุกขั้นตอนเพื่อจะนำเรื่องสถานบันเทิงครบวงจรเข้าสู่การประชุมสภาผู้แทนราษฎรให้ทันก่อนปิดสมัยการประชุม

เพื่อลดความเคลือบแคลงสงสัยว่า รัฐบาลทำโครงการนี้เพื่อประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง หรือเพื่อประโยชน์ของประชาชน และเพื่อลดความเสี่ยงของการทุจริตเชิงนโยบาย

รัฐบาลควรแสดงความโปร่งใสถึงกระบวนการการตัดสินใจที่จะทำโครงการนี้ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว เพราะสิ่งที่ประชาชนได้รับรู้จากการแถลงของภาครัฐคือ สถานบันเทิงครบวงจรนี้จะดึงดูดเงินลงทุนจากต่างประเทศในเบื้องต้นไม่น้อยกว่า 100,000 ล้านบาท 

รัฐจะมีรายได้เพิ่มขึ้นปีละประมาณ 40,000 ล้านบาทจากภาษี ค่าธรรมเนียมในการอนุญาต และค่าธรรมเนียมการเข้ากาสิโน ประเทศจะมีรายได้จากการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น 1-200,000 ล้านบาทต่อปี

เพราะจำนวนนักท่องเที่ยวจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 5-10 ต่อปี รวมทั้งรายจ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยวจะเพิ่มขึ้นจาก 44,000 บาทเป็นประมาณ 66,000 บาทต่อคน มีการจ้างงานสูงขึ้น 9,000-15,000 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 0.03-0.05 ของการจ้างงานรวม

ตัวเลขเหล่านี้มีที่มาอย่างไร มีความสมเหตุสมผลหรือไม่ เป็นสิ่งที่รัฐต้องชี้แจงให้มากไปกว่าการพูดถึงจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นในสิงคโปร์ ซึ่งไม่มีภาวะแวดล้อมทางธรรมชาติและศิลปวัฒนธรรมมากนัก แตกต่างจากเรามาก

ดังนั้น สถานบันเทิงครบวงจร หรือ Entertainment complex หรือ man made destination จึงเป็นทางเลือกที่สมเหตุสมผลของสิงคโปร์ ที่สำคัญสิงคโปร์มีกฎหมายและการบังคับใช้กฎหมายที่เคร่งครัด ทำให้ต้นทุนทางสังคมที่จะเกิดขึ้นจากกาสิโนลดน้อยลงไปมาก

สมมุติว่าตัวเลขทางด้านผลประโยชน์ของโครงการสถานบันเทิงครบวงจรที่รัฐประมาณการจะไม่สูงเกินจริง รัฐก็ยังคงต้องชั่งนํ้าหนักให้ดีว่า เรากำลังแลกผลประโยชน์นั้นกับอะไร กับต้นทุนทางสังคมที่สูงเช่นกัน

เช่น ปัญหาคนติดการพนัน การฟอกเงิน การค้ามนุษย์ อาชญากรรมที่เกี่ยวข้อง และปัญหาสังคมที่คนจะมีทัศนคติต่อการทำงานและความขยันหมั่นเพียรผิดเพี้ยนไป เป็นต้น 

รัฐบาลมีทางเลือกอื่นที่ดีกว่าหรือไม่ในการส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยต้นทุนทางสังคมน้อยกว่านี้ เช่น การสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่เพิ่มศักยภาพในแหล่งท่องเที่ยว การมีอากาศที่บริสุทธิ์ ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน เป็นต้น 

แม้รัฐบาลจะพยายามลดต้นทุนทางสังคมที่จะเกิดขึ้นโดยการออกกฎหมายที่รัดกุม แต่ประชาชนจะหวังอะไรได้ในประเทศที่ระบบนิติรัฐและนิติธรรมเป็นแบบนี้.