ชงยกเลิก'คำสั่งคสช.' 55 ฉบับ ดันเข้าสภาฯวาระ 2-3 สมัยหน้า

ชงยกเลิก'คำสั่งคสช.' 55 ฉบับ ดันเข้าสภาฯวาระ 2-3 สมัยหน้า

'จาตุรนต์' เผยผลพิจารณากมธ. เตรียมดันกม. ยกเลิก'คำสั่งคสช.' 55 ฉบับเข้าสภาฯวาระ 2-3 สมัยหน้า คงเหลือคำสั่งคสช.22ฉบับ โยน 'รัฐบาล-สภา' ชี้ขาด

ที่รัฐสภา นายจาตุรนต์ ฉายแสง สส.บัญชีราย ชื่อพรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ(กมธ.)วิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)ยกเลิกประกาศ และคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่หมดความจำเป็น และไม่เหมาะสมกับการปัจจุบัน พ.ศ....   แถลงผลการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ว่า  กมธ. ซึ่งได้มีการพิจารณามาตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2567 และเสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยวันนี้เป็นการพิจารณารายละเอียดในขั้นตอนสุดท้ายเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งเมื่อตรวจแก้ไขเรียบร้อยแล้วจะนำกราบเรียนประธานสภาผู้แทนราษฎรเพื่อนำเข้าสู่การพิจารณาในวาระ 2 และ 3 ของสภาผู้แทนราษฎรต่อไป

ทั้งนี้ ประกาศและคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่แม้ว่าในหลายกรณีจะเป็นการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น แต่หลายกรณีถูกนำไปใช้ในเรื่องที่มีลักษณะเฉพาะเจาะจงที่ไม่ใช่เพียงการควบคุมอำนาจการบริหารประเทศเท่านั้น แต่ได้ลงลึกไปถึงประเด็นเรื่องต่าง ๆ มากขึ้น การปกครองของ คสช. ใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 5 ปี ได้มีการออกคำสั่งที่สร้างปัญหาให้กับประเทศในหลายด้าน เช่น การละเมิดสิทธิมนุษยชน ขัดต่อหลักนิติธรรม สร้างปัญหาเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม และรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญที่พรรคการเมืองเกือบทุกพรรค ได้ยื่นญัตติ และญัตติของพรรคต่าง ๆ ก็เสนอมาเพื่อแก้ปัญหานี้ร่วมกัน โดยสภาผู้แทนราษฎรได้ลงมติเห็นชอบให้ตั้งคณะ กมธ. ชุดนี้ด้วยโดยมติเอกฉันท์

จากการพิจารณาทำให้เราสามารถยกเลิกคำสั่ง คสช. ได้ถึง 55 ฉบับ ซึ่งมากกว่าร่างหลักคือร่างของคณะรัฐมนตรีที่เสนอให้ยกเลิก 23 ฉบับ และยังคงเหลือไว้ 22 ฉบับ

สำหรับใน 55 ฉบับ ที่คณะ กมธ. ได้ยกเลิกนั้น ครอบคลุมในหลายแง่มุม เช่น คำสั่งที่ละเมิดสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก คือ ประกาศ คสช. ฉบับที่ 49/2557 ความผิดสำหรับการสนับสนุนการชุมนุมทางการเมือง ซึ่งคำสั่งนี้ขัดต่อรัฐธรรมนูญที่ให้การชุมนุมเป็นสิทธิเสรีภาพของประชาชน อีกทั้งการกำหนดโทษอาญาก็ขัดต่อหลักนิติธรรมอย่างมาก

รวมทั้งคำสั่งที่เพิ่มอำนาจให้เจ้าหน้าที่ราชการในการละเมิดประชาชน เช่น คำสั่ง คสช.ที่ 13/2559 เรื่อง การป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดบางประการที่เป็นอันตรายต่อความสงบเรียบร้อยหรือบ่อนทำลายเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ซึ่งคำสั่งนี้ไม่ต่างจาก พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่สามารถเรียกบุคคลมารายงานตัว จับกุม หรือเข้าไปในเคหสถานเพื่อตรวจค้นยึดทรัพย์สิน

ซึ่งคณะ กมธ. ได้พิจารณาเห็นชอบให้ยกเลิกคำสั่งนี้ไป แม้จะมี 55 ฉบับ ที่ยกเลิกไป แต่การกระทำตามคำสั่ง คสช. ได้ละเมิดต่อสิทธิเสรีภาพอย่างร้ายแรง กมธ. จึงได้มีข้อสังเกตในเชิงหลักการที่เสนอแนะไปยังรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ทบทวนและมีมาตรการเยียวยาเกี่ยวกับการเรียกให้บุคคลมารายงานตัว และการควบคุมตัวตามคำสั่ง คสช. ด้วย

ในส่วน 22 ฉบับที่คงไว้นั้น เนื่องจากบางฉบับมีเนื้อหาซับซ้อนต้องใช้ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน หรือเป็นเรื่องนโยบายทางบริหารที่จะมารองรับการแก้ปัญหาต่อ ๆไป รวมทั้งบางฉบับจำเป็นต้องตรากฎหมายขึ้นใหม่เพื่อมาทดแทนหรือแก้ไขเพิ่มเติมกฏหมายที่ใช้บังคับในปัจจุบันให้สอดคล้องกันเสียก่อนจึงจะยกเลิกคำสั่งเหล่านั้นได้

ทั้งนี้ คณะ กมธ. จะเสนอร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว ตามขั้นตอนไปยังสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาในวาระ 2 และ 3 ซึ่งคงจะเริ่มได้ในต้นสมัยประชุมหน้า และหลังจากนั้นจะเสนอต่อวุฒิสภาเพื่อพิจารณาต่อไป โดยคาดว่าจะผ่านการพิจารณาของทั้งสองสภา เพื่อแก้ไขกฎหมายที่ล้าสมัยและไม่สอดคล้องกับหลักประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนสากลเพื่อสร้างสังคมที่เป็นธรรมและเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาอย่างเต็มที่ รวมทั้งส่งเสริมให้เกิดการใช้ระบบกฎหมายปกติในการบริหารงาน หรือการแก้ปัญหาต่าง ๆ ของบ้านเมือง ซึ่งจะเป็นเรื่องที่สอดคล้องกับหลักนิติธรรมมากกว่า

ดังนั้น คำสั่ง คสช. ที่ยังคงค้างไว้จึงยังเป็นงานของรัฐบาล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงรัฐสภาเอง ที่จะต้องช่วยกันพิจารณาต่อไปว่าจะล้างมรดกของ คสช. นี้อย่างไร และทำอย่างไรจึงจะทำให้เกิดการออกกฎหมายหรือมาตรการมารองรับเมื่อมีการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับคำสั่งของ คสช.