ดันทุรัง ‘เอนเทอร์เทนเมนต์ฯ ’ ระวัง รัฐบาล-แพทองธาร‘พัง’

รัฐบาล ส่งสัญญาณเดินหน้า ผ่าน "ร่างกฎหมายเอนเทอร์เทนเมนต์ฯ" ในสภาฯ ก่อนปิดสมัยประชุมนี้ ขณะที่ "ฝ่ายค้าน-ม็อบนอกสภาฯ" เดินหน้าค้านเช่นกัน หากเดินจังหวะชนกัน ระวัง พัง
KEY
POINTS
Key Point :
- ร่างกฎหมายสถาบันเทิงครบวงจร จะถูกเข็นเข้าสู่วาระประชุมสภาฯ ในวันที่ 9 เม.ย.
- รัฐบาล หมายมั่นปั้นมือจะดันให้ผ่านวาระแรก ก่อนเปิดสมัยประชุมให้ได้
- ท่ามกลางเสียงคัดค้านทั้งในและนอกสภาฯ ที่มองว่าเรื่องนี้ เร่งรัดเกินจำเป็น
- แต่เมื่อ "รัฐบาล" กุมเสียงข้างมาก ถึง 319 เสียง การทัดทานอะไรในสภาฯ คงไม่อาจทำให้ชะลอความตั้งใจ ตามโจทย์ที่รับมา
- ทว่าเสียงของประชาชน นอกสภาฯ ที่รอจังหวะ ยกระดับ ควบกับการแสดงท่าทีของ "สว.สีน้ำเงิน"
- หาก "รัฐบาล" ยังไม่ฟัง และดันทุรังเดินหน้า อาจไม่เป็นผลดีกับ "รัฐบาล-แพทองธาร"
ก่อนปิดสมัยประชุมสภาฯ ซึ่งวันที่ 9 เม.ย.นี้ จะเป็นวันสุดท้ายของสมัยประชุม “รัฐบาล” ของพรรคเพื่อไทยหมายมั่นปั้นมือให้สภาฯ รับหลักการ ร่างพ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ… หรือ "เอนเทอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์" ซึ่งนิยามของ “ธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร” กำหนดให้รวมกับ “กาสิโน” ด้วย
การดันเรื่องนี้เข้าพิจารณาก่อนปิดสมัยประชุม ถูกตั้งข้อสังเกตจาก “ภาคประชาชน” และ “ฝ่ายค้าน” ว่า เป็นการ “เร่งรัด และเร่งรีบ” เกินจำไป
เมื่อยกไทม์ไลน์ของเรื่องนี้มาเทียบ คือ ใช้เวลาเพียง 1 ปีเศษ นับจากที่สภาฯ เห็นชอบกับ “รายงานผลการศึกษา เรื่อง การศึกษาการเปิดสถานบันเทิงครบวงจร เพื่อแก้ปัญหาพนันผิดกฎหมายและเพื่อประโยชน์ด้านเศรษฐกิจของประเทศ รวมถึง ร่างพ.ร.บ.เกี่ยวกับการเปิดสถาบันเทิงครบวงจร ของกรรมาธิการวิสามัญ ที่มี “จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์” เป็นประธาน เมื่อ 28 มี.ค. 2567 ซึ่งขณะนั้น มติสภาฯเห็นด้วยเอกฉันท์ 253 เสียง โดย สส.พรรคก้าวไกล ขณะนั้น “ไม่ร่วมลงมติ”
จากนั้นส่งกลับ ครม. และมีมติเห็นชอบในหลักการเมื่อ 13 ม.ค.2568 พร้อมกับส่งให้คณะกรรมการกฤษฎีกา(คณะพิเศษ) พิจารณาปรับแก้ไข ระหว่าง 16 ม.ค. - 25 ก.พ.2568 จากนั้นจึงนำไปรับฟังความเห็น ก่อนส่งให้ ครม.พิจารณาและลงมติเห็นชอบในหลักการ 27 มี.ค.2568 และส่งให้ “สภาฯ” พิจารณาบรรจุวาระ 3 เม.ย. ซึ่งเป็นเรื่องด่วน ลำดับที่ 15
โดยขั้นตอน ในวันนี้ (3 เม.ย.) วิปรัฐบาลจะเสนอให้เลื่อนการพิจารณา ร่างพ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร (พ.ศ...) ขึ้นมาพิจารณาเป็นเรื่องสำคัญ ในการประชุมวันสุดท้ายของสมัยประชุมวันที่ 9 เม.ย.นี้ ท่ามกลางกระแส “คัดค้าน” จาก สส.ในสภาฯ และ “ม็อบ” นอกสภาฯ
ต่อเรื่องนี้ “วิสุทธิ์ ไชยณรุณ” ประธานวิปรัฐบาล ยืนยันการเดินหน้า เพราะเห็นว่าต่อให้เลื่อน หรือชะลอ ก็ไม่ทำให้เสียงค้าน เบาลง
“คนที่เห็นต่างควรรับฟัง ไม่ใช่อะไรๆ ก็ต่อต้าน ขอให้เรื่องนี้ได้พูดในสภาฯ จะได้ชี้แจง เพราะการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร ไม่ใช่มีแค่เรื่องบ่อนการพนัน และตามร่างกฎหมายกำหนดสัดส่วนกาสิโนไว้ไม่เกิน 10% ซึ่งอาจจะมี 3-5% เท่านั้น หากไม่อยากให้มีในประเทศไทย ทั้งที่ต่างชาติก็มี ต้องถามชาวบ้านด้วยว่า เขาสนับสนุนให้มีบ่อนเถื่อนหรือไม่ ให้เรียกเก็บเงินใต้โต๊ะหรือไม่”
ส่วนปฏิกิริยาของ “ฝ่ายค้าน” ที่แม้ยังไม่ชัดเจนว่า จะใช้มาตรการใด “คัดค้าน” หลังจากที่รอบก่อนหน้านั้น ในวาระพิจารณารายงานศึกษาเรื่องเอนเทอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ เมื่อปี 2567 เลือกใช้เกม “ล่มประชุม” ด้วยการไม่แสดงตน ร่วมเป็นองค์ประชุม และขอให้ใช้วิธี “นับองค์ประชุมด้วยการขานชื่อ” ทำให้องค์ประชุมผ่านกึ่งหนึ่ง ไปอย่างเฉียดฉิว 253 คนจากสส.ที่มีในขณะนั้น 500 คน ขณะที่วาระลงมติ ได้เลือก “ไม่ร่วมออกเสียงใดๆ”
ประธานวิปรัฐบาลบอกว่า เป็นธรรมดาของฝ่ายค้านที่ต้องค้านทุกเรื่อง ต้องปล่อยเขา เพราะในสภาฯ ถือเป็นสถานที่ที่ออกกฎหมาย แก้กฎหมาย สส.ต้องแสดงความเห็น ไม่ใช่ตั้งหน้าตั้งตา เอาแต่ประเด็นการเมือง ทั้งที่รัฐบาลจำเป็นต้องหาเงิน ให้เกิดการลงทุน
สิ่งที่ “วิปรัฐบาล” ไม่สนใจในแอ็กชั่นของ “ฝ่ายค้าน” อาจเป็นเพราะมีเสียงข้างมาก 319 เสียง อยู่ในมือ ต่อให้มีการใช้เกมล่มประชุมเหมือนปีที่แล้ว “สส.รัฐบาล” จะไม่เพลี่ยงพล้ำ หรือ มีเรื่องให้ “เสียหน้า”
เมื่อโฟกัสกับสิ่งที่ “พรรคฝ่ายค้าน” โดย “พรรคประชาชน” กังวล คือ ในเนื้อหาร่างกฎหมายที่ขาดความรอบคอบ และไม่สะท้อนสิ่งที่จะสร้างประโยชน์ประเทศ แต่มีความกังวลที่มากกว่า คือ การมัดมือชกให้ สภาฯ เร่งรับหลักการของร่างกฎหมาย และใช้เวลาช่วงปิดสมัยประชุมทำคลอดกฎหมาย
เมื่อพิจารณารายละเอียดและการตั้งข้อสังเกตของ “พรรคประชาชน” นับตั้งแต่การอภิปรายไม่ไว้วางใจ “แพทองธาร ชินวัตร” คือ ความไม่โปร่งใส และการเปิดช่องให้ “ธุรกิจพนัน” สยายปีกอย่างเปิดเผย จาก “กลุ่มทุนต่างชาติ” ที่ส่อมีผลประโยชน์ทับซ้อน กับแกนนำพรรครัฐบาล
เมื่อกลไกสภาฯ อาจจะ “ยับยั้งได้ยาก” ฝ่ายค้านอาจมีอีกทางเลือก คือ ขานรับข้อเรียกร้อง “องค์กรภาคประชาชน” ที่เสนอให้ทำ “ประชามติ” ถามประชาชนทั่วประเทศเสียก่อนว่าจะเห็นด้วยหรือไม่กับการมี “กาสิโน” ซึ่งพ่วงมากับ “สถานบันเทิงครบวงจร” หรือไม่ ซึ่งตามกลไกกฎหมายประชามติเป็นสิทธิที่ทำได้
ขณะที่ “ฝ่ายสว.” มีท่าทีเอาด้วย กับการทำประชามติ โดย ตัวแทนสว.สีน้ำเงิน “พิสิษฐ์ อภิวัฒนาพงศ์” โฆษกวิปวุฒิสภา บอกว่า “จากการพูดคุยกับ สว.ส่วนใหญ่ ไม่เห็นด้วยมากกว่า จึงอยากให้ทำประชามติถามประชาชนก่อน ว่าต้องการให้มีกาสิโนหรือไม่ อย่าอ้างว่าเป็นแค่เอนเทอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ เพราะปัจจุบันมีอยู่แล้ว แต่เราไม่มีกาสิโน”
ดังนั้น หากฝ่ายค้านผนึก สว.อาจได้เห็นการชะลอร่างกฎหมายเอนเทอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ของสภาฯ แต่หากไม่เป็นไปตามนั้น ยังถือว่าไม่เสียของเพราะ “ประชาชน”นอกสภาฯ พร้อมยกระดับการเคลื่อนไหว
เมื่อ “สภาฯ เสียงข้างมาก" ได้โจทย์มาจาก “รัฐบาล-เพื่อไทย” ให้เร่งผลักดันร่างกฎหมายนี้ เพื่อสอดรับกับนโยบาย แม้ระหว่างทาง จะเจออุปสรรค และขวากหนามรายทาง ซึ่งรอบนี้ไม่มีแค่ “สภาฯ” เท่านั้น
จำเป็นหรือไม่ที่ต้องคิดให้รอบคอบ ต่อการเดินเครื่องเรื่อง “เอนเทอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์“ พ่วงกับ ”กาสิโน” เพราะเป็นเรื่องที่มีผลกระทบต่อสังคมวงกว้าง และเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ที่อาจก่อให้เกิดปัญหาสังคม
การดันทุรังทำเรื่องที่สังคมหมู่มากไม่เอาด้วย อาจนำไปสู่ความ “พัง” ที่ไม่เป็นผลดีกับ "รัฐบาล-แพทองธาร ชินวัตร” ก็เป็นได้.







