'สว.' จี้ 'รัฐบาล' เร่งสอบปม ตึก สตง.ถล่ม หนุนเอาผิด บ.นอมินีจีน

"วุฒิสภา" ตั้งญัตติด่วน จี้ "รัฐบาล" เร่งสอบตึก สตง. ถล่ม ชี้เป็นความมอับอายต่อประเทศ - แนะให้เอาผิด บ.นอมินีจีน พร้อมซัด "แพทองธาร" ไม่มืออาชีพ
ที่รัฐสภาในการประชุมวุฒิสภา ที่มีพล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์ รองประธานวุฒิสภา คนที่หนึ่ง เป็นประธานการประชุม ได้พิจารณาญัตติด่วนด้วยวาจา เรื่อง ขอให้ที่ประชุมพิจารณากรณีเหตุการณ์แผ่นดินไหวในประเทศเมียนมา ซึ่งส่งผลกระทบต่อประเทศไทย เมื่อวันที่ 28 มี.ค. เสนอโดย พล.ต.ต.รมย์สิทธิ์ วีริยาสรร สว. เพื่อส่งต่อข้อเสนอไปยังรัฐบาล เพื่อให้พัฒนาและปรับปรุงระแบบการแจ้งเตือนเหตุการณ์วิกฤตของภัยพิบัติทุกรูปแบบ พร้อมตั้งข้อสังเกตต่อการจัดสรรงบประมาณเพื่อใช้ในการสร้างระบบเตือนภัยที่เป็นงบผูกพันตั้งแต่ปี2567-2569 แต่ปัจจุบันยังพบระบบแจ้งเตือนภัยพิบัติยังไม่สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โดย น.ต.วุฒิพงศ์ พงศ์สุวรรณ สว. อภิปรายโดยเน้นย้ำถึงการปฏิรูประแบบแจ้งเตือนภัย ทั้งนี้แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้น 28 มี.ค. จนถึงปัจจุบันพบว่ามีอาฟเตอร์ช็อคเกิดขึ้นหลายครั้งและไม่มีการแจ้งเตือนภัยมายังประชาชน อย่างไรก็ดีตั้งแต่เกิดเหตุสึกนามิ 2547 จนถึงปัจจุบัน ประเทศไทยลงทุนต่อการแจ้งระบบ Cell broadcast รวมกว่า 1,074 ล้านบาท ซึ่งเป็นข้อมูลที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้แจ้งข้อมูลไว้เมื่อ 4 ม.ค. 2567 ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเร่งพัฒนาระบบอย่างเร่งด่วน
“ช่วงเกิดเหตุแผ่นดินไหว ผมผ่านไปทางถนนกำแพงเพชร เห็นกับตาว่าตึกถล่ม มองไปทางขวาก็เห็นน้ำกระฉอกจากตึกเต็มไปหมดเลย ขับรถไปอีกสักพัก คนวิ่งลงจากตึกจำนวนมาก เหมือนกับในภาพยนตร์ เรื่องโลกจะแตก ผมเชื่อว่าประชาชนสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับระบบแจ้งเตือนของประเทศไทย โดยไม่มีการแจ้งเตือนช่วงเกิดเหตุ แต่พบข้อความจากมิจฉาชีพที่ส่งข้อความถึงปรระชาชนเร็วกว่าภาครัฐ” นต.วุฒิพงศ์ อภิปราย
ขณะที่ น.ส.นันทนา นันทวโรภาส อภิปรายอย่างดุเดือดว่า แผ่นดินไหวที่ผ่านมาเปลือยเปล่าระบบราชการไทยและรัฐบาลอย่างชัดเจนที่สุด จนทำให้คนไทยตาสว่างกันเลยทีเดียว ทั้งนี้รัฐบาลไม่อาจแสดงความไร้เดียงสา ปฏิเสธความรับผิดชอบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ แม้ว่าจะเกิดเป็นครั้งแรก ถ้าจะว่าไปแล้วครอบครัวของน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ เคยเผชิญวิกฤตตั้งแต่รุ่นพ่อ คือ เหตุการณ์สึนามิ รุ่นอาเจอน้ำท่วมใหญ่ มาถึงรุ่นนายกฯ ควรนำประสบการณ์การบริหารภาวะวิกฤติมาใช้ได้บ้าง แต่กลับหาความมืออาชีพไม่มี
ทางด้าน นายเทวฤทธิ์ มณีฉาย สว. อภิปรายวว่า จากการตรวจสอบของงบประมาณตามกฎหมายงบประมาณปีที่ผ่านมา ส่วนของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารภัย (ปภ.) พบการตั้งงบประมาณเพื่อระบบแจ้งเตือนผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ ตั้งงบผูกพันตั้งแต่ปี 67-69 กว่า 269 ล้านบาท และยังมีงบประมาณเพื่อสำหรับกองเฝ้าระวังแผ่นดินไหว ในกรมอุตุนิยมวิทยา สังกัดกระทรวงดีอี ซึ่งระบุว่าจะมีเครือข่ายสมรรถนะสูง ตรวจเฝ้าระวังแผ่นดินไหว และสึนามิ ตั้งงบไว้ 271 ล้านบาท ตั้งแต่ปี67-69 แม้จะมีการชี้แจงถึงระบบเซลบรอดเคส ปลายไตรมาสสองของปีนี้ ตั้งงบไว้ปี2567 แต่ระบบแจ้งเตือนทางโทรศัพท์และการเฝ้าระวัง ทำไมถึงปล่อยให้ระบบเตือนภัยบกพร่องซึ่งระบบดังกล่าวควรเร่งรัด หากรอไปถึงปลายไตรมาสสองคงไม่ทัน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่านอกจากที่สว.จะอภิปรายถึงระบบเตือนภัยของรัฐบาลที่ล้มเหลวและไม่ทันต่อการแจ้งเตือนช่วงเกิดภัยพิบัติแล้ว ยังพบว่ามมีการอภิปรายถึงการก่อสร้างอาคารที่มีผลกระทบจากเหตุแผ่นดินไหว โดยพบว่าส่วนใหญ่เป็นอาคารของส่วนราชการ เช่น อาคารสตง. อาคารศูนย์ราชการ แจ้งวัฒนะ อาคารสำนักงานศาล จึงขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบรายละเอียด เพราะกังวลว่าอาจมีการทุจริตเกิดขึ้น เช่น การเปลี่ยนแบบก่อสร้าง การแก้ไขเหล็กที่ใช้ก่อสร้างจนทำให้อาคารไม่สามารถรับแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวได้
โดยช่วงหนึ่งของการอภิปราย ของนายยุคล ชนะวัฒน์ปัญญา สว. อภิปรายถึงอาคาร สตง. แห่งใหม่ ถล่มจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว ว่า เป็นความอับอายและทำให้ประเทศเสียภาพลักษณ์ ซึ่งบริษัทรับเหมาก่อสร้างซึ่งร่วมทุนกับนอมินีจีน ต้องมีบทลงโทษเพราะงานด้อยคุณภาพ ไร้มาตรฐานการก่อสร้าง ซึ่งรัฐบาลต้องมีบทลงโทษ ขณะที่หน่วยงานที่รับผิดชอบ ควบคุมการก่อสร้างจึงละเลยการรตรวจสอบ ทำให้ถูกมองถึงความไม่โปร่งใส
ขณะที่นางประทุม วงศ์สวัสดิ์ สว. อภิปรายโดยเชื่อว่ามีการคอรัปชั่นก่อสร้างตึกสตง.แห่งใหม่ แต่ไม่มีใครกล้าหาญจะพูด เพราะระบบอุปถัมภ์ค้ำคอ ทั้งนี้ตนขอเตือนไปยังหน่วยงานราชการว่าไม่ควรเพิกเฉย ละเลยสิ่งผิด ทั้งนี้อาคารที่มีปัญหานั้นส่วนใหญ่เป็นตึกของราชการ นอกจากนั้นแล้วในส่วนของอาคารรัฐสภามีหลายอย่างไม่ชอบมาพากลแต่นิ่งเฉย
“วันนั้นดิฉันอยู่ในเหตุการณ์ ไม่พบเสียงเตือน และต้องหนีลงบันไดหนีไฟ ซึ่งป้ายเตือนภัยสำคัญ ควรมีกล่องไฟแจ้งทางหนีไฟ ดิฉันลงบันไดหนีไฟ เพิ่งทราบจุดของบันไดหนีไฟ และเพิ่งทราบว่าบันใดหนีไฟสร้างด้วยไม้สักอย่างดี ขณะที่เพดานของห้องประชุมเป็นแผ่นไม้ หากเกิดอะไรขึ้นและตกลงมา ไม่มีใครทันใส่หมวกนิรภัยแน่นอน” นางประทุม อภิปราย.







