เงื่อนงำซื้อ ‘งูเห่าส้ม’ ภาค 3 บทเรียนการเมือง ‘10 สส.ดีลล่ม’

ถ้าซื้อสำเร็จ มุมหนึ่งดิสเครดิตพรรค ปชน.ได้แน่นอน เสียหาย เสียความไว้วางใจจากประชาชน อีกเรื่องคือเป็นการแสดงศักยภาพให้ผู้มีอำนาจเห็นว่า คนที่มาดีลนั้นซื้อ สส.ได้
KEY
POINTS
- ขมวดไทม์ไลน์ สส.ปชน.ปูดดีลซื้อตัว สร้างฟาร์ม 'งูเห่าสีส้ม' ภาค 3
- ควักจ่าย 15-20 ล้านบาท พ่วงโปรโมชั่น ถ้าถูกขับออกจ่ายเพิ่ม 5 ล้านบาท ถ้าพา สส.มา 10 คน การันตีตำแหน่งด้วย
- อ้างชื่อตัวละครหลังฉาก 'นางสาว ณ' สังกัดอดีตพรรคเล็ก เคยถูกครหาเป็นนั่งร้านหนุน 'ลุงตู่'
- แต่สุดท้ายพรรคนี้ล้มเหลว ต้องปิดฉากสิ้นสภาพไปเมื่อปี 2566
เงื่อนปม “งูเห่า” ภาค 3 กลับมาเป็นประเด็นร้อนแรงผ่านหน้าสื่ออีกครั้ง พลันที่ “กฤช ศิลปชัย” สส.ระยอง เขต 2 พรรคประชาชน (ปชน.) ออกมา “ทิ้งบอมบ์” เปิดแชทไลน์ โชว์หลักฐานบางส่วน อ้างว่าถูกติดต่อเสนอเงินหลายระดับ สูงสุด 20 ล้านบาท แลกเป็น “งูเห่า” โหวตไว้วางใจ “แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี ในการลงมติอภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อ 26 มี.ค.ที่ผ่านมา และหากย้ายพรรคเพิ่มอีก 5 ล้าน พร้อมตำแหน่งและเงินเดือน 250,000 บาท
เขายืนยันว่า เหตุการณ์ทั้งหมดข้างต้นเป็นเรื่องจริง และอ้างถึง พงศธร ศรเพชรนรินทร์ สส.ระยอง รองเลขาธิการพรรค ภาคตะวันออก ยืนยันได้ เพราะอยู่กับตนตอนโทรเข้ามา
ท่ามกลางการวิเคราะห์กันว่า การดีลซื้อตัว “งูเห่า” ในศึกซักฟอกรอบนี้ ดูไม่ค่อยสมเหตุสมผลมากนัก เพราะเสียงของรัฐบาลท่วมท้นอยู่แล้ว
ประเด็นนี้ “กฤช” เห็นด้วย โดยมองว่า ซื้อเพราะเติมเสียงให้รัฐบาล ไม่น่าใช่ แต่ถ้าซื้อสำเร็จ มุมหนึ่งดิสเครดิตพรรค ปชน.ได้แน่นอน เสียหาย เสียความไว้วางใจจากประชาชน อีกเรื่องคือเป็นการแสดงศักยภาพให้ผู้มีอำนาจเห็นว่า คนที่มาดีลนั้นซื้อ สส.ได้ อาจได้ตำแหน่งตอบแทน หรืออาจจะเอาตำแหน่ง เป็นนายหน้าหา สส.ให้พรรค เพื่อต่อรองในการปรับ ครม.ที่อาจมีมาถึงในเร็ว ๆ นี้
ส่วนจะมีหลักฐานเชื่อมโยงไปถึงคนในรัฐบาลหรือไม่นั้น “กฤช” ยอมรับว่า หลักฐานไม่ได้ชัดขนาดนั้น แต่ถ้ามองปรากฎการณ์ เห็นว่า สส.พรรคร่วมฝ่ายค้าน โหวตเห็นด้วยกับนายกฯบ้าง และอาจเห็นมีหลายพรรค บางพรรคก็ 1 คน คิดว่าเรื่องนี้มีส่วนเกี่ยวข้องก็ได้กับพรรคใดพรรคหนึ่งในรัฐบาล ที่เป็นพรรคร่วมรัฐบาลต้องการ สส.เพิ่ม เพื่อต่อรองอะไรบางอย่าง
กรุงเทพธุรกิจ สรุปไทม์ไลน์ดีลซื้อตัว “กฤช” ดังกล่าวมานำเสนอ โดยเรื่องนี้เริ่มต้นจากคืนวันที่ 26 มิ.ย. 2568 “กฤช ศิลปชัย” สส.ปชน. โพสต์ภาพแชทไลน์ โดยระบุข้อความถึงดีลเสนอซื้อตัว เพื่อแลกกับการโหวตไว้วางใจ “นายกฯแพทองธาร” มีจุดเริ่มต้นมาจาก “นางสาว ณ” ที่เป็นนักการเมืองคนหนึ่ง ติดต่อผ่าน “Mr.B” อดีตนักการเมืองท้องถิ่น ซึ่งคาดการณ์ว่าเป็น “ล็อบบี้ยิสต์” ประสานผ่านมายัง “Mr.A” คนรู้จักของ “กฤช” โดยเสนอเงินอย่างน้อย 2 ครั้ง ครั้งแรกคืนวันที่ 25 มิ.ย. 2568 ซึ่งเป็นวันที่ 2 ของการซักฟอก เสนอเงิน 15 ล้านบาท ต่อมาช่วงเช้าวันที่ 26 มิ.ย. ซึ่งเป็นวันลงมติได้ติดต่อมาอีกครั้ง เสนอเงิน 20 ล้านบาท โดย “กฤช” ปฏิเสธไป
ต่อมา “กฤช” หารือกับ “Mr.A” เพื่อสอบถามข้อเท็จจริงเรื่องนี้ โดย Mr.A อ้างว่าได้คุยแชทไลน์ และโทรศัพท์คุยโดยตรงกับ “Mr.B” รวมถึงได้คุยแชทข้อความกับ “น.ส.ณ” เพื่อยืนยันข้อเสนอดังกล่าว หลังจากนั้น “กฤช” ได้ตื้อเพื่อขอเบอร์โทรศัพท์ “น.ส.ณ” จนได้เบอร์โทรศัพท์ดังกล่าวมาอยู่ในมือ
ในช่วงเช้าวันที่ 27 มิ.ย. “กฤช” ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ “เจาะลึกทั่วไทย InsideThailand” ให้สัมภาษณ์ ยืนยันข้อเท็จจริงเรื่องดีลนี้ โดยอ้างถึง “นางสาว ณ” ตอนหนึ่งว่า มีแบ็คกราวน์เป็นนักธุรกิจยานยนต์และปั๊มน้ำมัน โดยตอนแรกเมื่อได้ชื่อมาแล้ว เอาชื่อไปเสิร์ชกูเกิล ก็ขึ้นมาว่าเป็นกรรมการบริหารพรรคการเมืองหนึ่ง มีสถานะในแวดวงการเมืองระดับหนึ่ง เพราะเป็นกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) ขนาดเล็กพรรคหนึ่ง เป็นพรรคที่มี สส.ในสภาฯ ด้วย ซึ่งพรรคนี้มีงูเห่ารวมอยู่หลายตัว ที่แยกออกมาจากพรรคขนาดใหญ่พรรคหนึ่งก่อนหน้านี้ ส่วน “Mr.B” เป็นอดีตนักการเมืองท้องถิ่น มีสายสัมพันธ์กับ “พรรคสีแดง”
ทำให้สื่อหลายสำนัก มีการเชื่อมโยงไปถึง “พรรคบ้านใหญ่” แห่งภาคเหนือตอนล่าง ที่มีบุคคลที่เป็น “อดีตรัฐมนตรี” เป็นแกนนำพรรค เคยมีสายสัมพันธ์อันดีกับ “บ้านป่าฯ” แต่ปัจจุบันแยกทางกันแล้ว ที่สำคัญพรรคนี้มีกรรมการบริหารคนหนึ่งเป็นผู้หญิงชื่อย่อ “ณ” อีกด้วย
ทว่า ช่วงบ่ายวันเดียวกัน “กฤช” ให้สัมภาษณ์ที่รัฐสภา ยอมรับว่า เข้าใจคลาดเคลื่อนเรื่อง “นางสาว ณ” เพราะชื่อคล้ายกับพรรคที่มี สส.ในสภาฯ คิดว่าเป็นพรรคที่มี สส.ในสภาฯ แต่พอตรวจเช็คดี ๆ แล้ว ปรากฏว่าชื่อคล้ายเฉย ๆ แต่ไม่ใช่พรรคที่มี สส.ในสภาฯ
“กฤช” กล่าวอ้างว่า บุคคลคนนี้เป็นผู้หญิง ทำธุรกิจยานยนต์ และปั๊มน้ำมัน พอได้ชื่อ ก็ดูว่ามีสื่อเคยนำเสนอหรือไม่ พบว่าก่อนเลือกตั้งปี 2566 น่าจะราว พ.ย. 2565 มีสำนักข่าวหนึ่งนำเสนอเกี่ยวกับพรรคการเมืองนี้ไว้ อารมณ์ว่า เป็นพรรคสำรองของใครหรือไม่ อย่างไร
หัวหน้าพรรค ผู้ก่อตั้งพรรคมีความสนิทสนม ทำธุรกิจแข่งรถกับ “บ้านใหญ่” แห่งหนึ่งภาคอีสาน โดยพรรคการเมืองนี้ที่เช็คมา พรรคได้สิ้นสภาพไปแล้วตั้งแต่ ม.ค. 2566 เนื่องจากมีสมาชิกไม่ครบตามที่กฎหมายกำหนด มีข้อสังเกตอย่างหนึ่ง หลายคนอาจถามว่า ทำไมพรรคนี้มาซื้อ ในอดีตพรรคอนาคตใหม่ ที่มีการย้ายพรรคย้ายอะไรกัน ส่วนใหญ่ไปฝากไว้กับพรรคเล็ก ๆ จากที่เราเห็นในข่าว มีความเป็นไปได้
เมื่อถามถึงนักธุรกิจที่ทำธุรกิจปั๊มน้ำมัน และยานยนต์ โดยกล่าวหาว่าเชื่อมโยงกับพรรคบ้านใหญ่อีสาน คือพรรคใด "กฤช"ระบุว่า ชื่อคล้าย ๆ พรรคไทยสร้างไทย (ทสท.)
อย่างไรก็ดี บรรดาแกนนำรัฐบาลปัจจุบัน ต่างออกมาปฏิเสธเรื่องนี้ พร้อมถามกลับว่า รัฐบาลมีเสียงล้นท่วมท้นอยู่แล้ว มีเหตุผลอะไรจะต้องไปซื้อตัวงูเห่ามาเพิ่มเติมอีก ด้านแกนนำ ปชน.ปฏิเสธที่จะให้ข้อมูลเรื่องนี้เช่นกัน โดยเตรียมนำเข้าที่ประชุมกรรมการบริหารพรรค ในวันที่ 1 เม.ย.นี้ก่อน
ทั้งนี้ จากการตรวจสอบข้อมูลพบว่า พรรคที่สิ้นสภาพความเป็นพรรคการเมืองเมื่อปี 2566 มีจำนวน 3 พรรค โดยในจำนวนนี้ มีอยู่พรรคหนึ่งถูกจัดตั้งขึ้นเมื่อปี 2564 ในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อทางการเมือง เพราะสถานการณ์ขณะนั้น เกิดรอยร้าวบาดหมางระหว่าง “แกนนำบิ๊กรัฐบาล” ทำให้มีการคาดการณ์ว่า “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกฯ (ขณะนั้น) จะถอยออกมาจากพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ไปสังกัดพรรคการเมืองใหม่ เพื่อเตรียมสู้ศึกเลือกตั้งปี 2566 หวังเป็นนายกฯอีกครั้ง
ประเด็นนี้ถูกโยงไปถึงพรรคการเมืองแห่งนี้ ที่จัดตั้งในปี 2564 ว่าอาจเป็น “นั่งร้านสำรอง” สนับสนุน “บิ๊กตู่” เป็นนายกฯอีกสมัย สู้ศึกเลือกตั้งปี 2566 ด้วย โดยพรรคนี้ตอนเริ่มต้นมีกรรมการบริหารพรรค 10 คน โดย “ระดับนำ” ในพรรค เคยทำธุรกิจเกี่ยวกับ “การแข่งรถ-สนามแข่งรถ” ส่วน กก.บห.บางคน เคยเป็นนักธุรกิจเกี่ยวกับปั๊มน้ำมัน กิจการในปั๊ม รวมถึงธุรกิจด้านยานยนต์ ซึ่งสอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่ “กฤช” ให้สัมภาษณ์ที่รัฐสภา
อย่างไรก็ดี พรรคนี้ถูก “บิ๊กตู่” และแกนนำรัฐบาลในช่วงปี 2564 ออกมาปฏิเสธกระแสข่าวเรื่อง “พรรคสำรอง” ทำให้พรรคนี้บทบาททางการเมืองลดน้อยถอยลง กระทั่งปี 2566 ถูกนายทะเบียนพรรคการเมืองของ กกต.ให้พ้นสภาพความเป็นพรรคการเมือง เนื่องจากที่ประชุมกรรมการบริหารมีมติเอกฉันท์ให้เลิกในที่สุด
สำหรับประเด็น สส.งูเห่านั้น นับตั้งแต่การเลือกตั้งครั้งแรกในปี 2562 ภายหลังการรัฐประหารตั้งแต่ปี 2557 พบว่า เกิดปรากฎการณ์ซื้อตัว “งูเห่า” หลายครั้ง โดยในส่วนของ “ก๊กส้ม” เคยเจอปรากฎการณ์นี้ 2 ครั้ง
ครั้งแรกเกิดเมื่อปี 2562 มี 4 คน ได้แก่ ศรีนวล บุญลือ กวินนาถ ตาคีย์ พ.ต.ท.ฐนภัทร กิตติวงศา และจารึก ศรีอ่อน โดยทั้งหมดถูกขับออกจากพรรค
ต่อมาครั้งที่สองเกิดขึ้นหลังยุบพรรคอนาคตใหม่ปี 2563 มี 9 สส.ไม่ย้ายตามไปอยู่ที่พรรคก้าวไกล ได้แก่ มณฑล โพธิ์คาย โชติพิพัฒน์ เตชะโสภณมณี กฤติเดช สันติวชิระกุล เอกการ ซื่อทรงธรรม อนาวิล รัตนสถาพร กิตติชัย เรืองสวัสดิ์ ฐิตินันท์ แสงนาค สำลี รักสุทธิ และวิรัช พันธุมะผล โดยมี 6 สส.ที่ไม่ได้ถูกขับออกจากพรรค แต่ไปนั่งเก้าอี้พรรคการเมืองอื่น ได้แก่ คารม พลพรกลาง (ต่อมาไปสังกัดพรรคภูมิใจไทย) ขวัญเลิศ พานิชมาท เอกภพ เพียรพิเศษ พีรเดช คําสมุทรจิรวัฒน์ อรัณยกานนท์ และเกษมสันต์ มีทิพย์ เป็นต้น
“งูเห่าสีส้ม” ทั้ง 2 ภาค มีรวมกันอย่างน้อย 19 คน และทั้งหมดถูกส่งลงสมัครรับเลือกตั้ง สส.ปี 2566 ในสีเสื้อพรรคอื่นแต่ “สอบตก” ทั้งหมด กระทั่่งมีกระแสข่าวว่าอาจมี “งูเห่าสีส้ม” ภาค 3 เกิดขึ้นอีก ในช่วงก่อนยุบพรรคก้าวไกลเมื่อ ส.ค.ปี 2567 พบสัญญาณมี สส.สีส้ม บางคนวิ่งเข้าออก “บ้านป่าฯ-บิ๊กเนมการเมือง” แต่สุดท้ายดีลดังกล่าวก็ไม่เกิดขึ้น
ส่วน พปชร.ประสบเหตุการณ์ “งูเห่า” 1 ครั้ง เมื่อปี 2565 กรณี “กลุ่ม 21 สส.” ซุ้ม “ผู้กอง” จนสุดท้ายถูกขับออกจากพรรค และย้ายไปสังกัดพรรคเศรษฐกิจไทย ซึ่งปัจจุบันคือพรรคกล้าธรรม







