'พท.-ปชน.' ซัดกันนัว ปมยื่นศาลรธน. ชี้เป็นโรงลิเกต้มประชาชน

'พท.-ปชน.' ซัดกันนัว ปมยื่นศาลรธน. ชี้เป็นโรงลิเกต้มประชาชน

"วิโรจน์" มอง "พท." เล่นลิเกต้มประชาชน ยื่นญัตติส่งศาลรธน.ซ้ำเดิม ด้าน "ชลน่าน" มองเป็นทางออก ชี้ต้องทำให้สุด ไม่ใช่หวังสร้างกระแส หลอกต้มประชาชน

ที่รัฐสภา  ในการประชุมรัฐสภา วาระพิจารณาญัตติด่วน เรื่องขอให้รัฐสภามีมติขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 210 วรรคหนึ่ง (2)  ซึ่งมีผู้อภิปรายรวม 26 คนต่างแสดงความเห็นทั้งสนับสนุนและคัดค้าน

ทั้งนี้ ช่วงหนึ่งนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา ชี้แจงด้วยว่า คำวินิจฉัยของศาลธรรมนูญครั้งสุดท้าย เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2567 ซึ่งมีหลักการ 3 ประการ คือ

1. รัฐสภามีอำนาจในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

2. รัฐสภามีอำนาจในการบรรจุวาระการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

3.ถ้ารัฐสภาต้องการจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็ดำเนินการแล้วไปทำประชามติ

ซึ่งตนบรรจุเพราะฝ่ายกฎหมายเห็นว่า เพราะคำว่าถ้ารัฐสภาต้อง หมายความว่าต้องพิจารณามาตรา 256 วาระที่1  2 และ3 ไปแล้ว นั่นคือความต้องการ แต่ถ้ายังไม่พิจารณา อยู่ๆ พรรคประชาชนก็เสนอร่างแก้ไข และพรรคเพื่อไทยก็เสนอ นั่นเป็นความต้องการของพรรคการเมืองเท่านั้น หรือประชาชนจะเสนอมาก็เป็นความต้องการของประชาชน

“หากเราไม่ถาม แต่รัฐสภาต้องการ แล้วจะไปถามประชามติอย่างไร เพราะยังไม่รู้จะแก้กี่ขั้นตอน และถามประชามติครั้งหนึ่งต้องเสียงบประมาณ 3,000 ล้านบาท  หากประชาชนต้องการแล้ว รัฐสภาบอกว่าไม่เอาด้วยหรือเสียง สว. ไม่ถึงเสียงก็ถือว่าร่างกฏหมายไม่ผ่านแต่เสียเงิน 3,000 ล้านบาทไปแล้วและเสียเวลาไปแล้วนี่คือสิ่งที่ฝ่ายกฎหมายของสภาผู้แทนราษฎรและประธานรัฐสภาตัดสินใจโดยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2567  ดังนั้นรัฐสภาต้องการโดยไม่ขอมติที่ประชุมรัฐสภา แล้วจะมาบอกว่ารัฐสภาต้องการได้อย่างไร เพียงแต่ยังไม่ใช่พรรคการเมืองต้องการ หรือประชาชนต้องการ แต่ไม่เกี่ยวกับว่าวันนี้ เราจะมีมติไปถามศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่” ประธานรัฐสภา ชี้แจง

ขณะที่นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน อภิปรายโดยไม่เห็นด้วยกับการส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่เคยมีมาก่อนหน้านี้ ตนไม่ขัด แต่ได้งดออกเสียง แต่ผลคือศาลรัฐธรรมนูญไม่รับคำร้องด้วยเสียงเอกฉันท์

ดังนั้นการส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความเพื่อยื้อการแก้ไขรัฐธรรมนูญ คือ เป็นโรงลิเก หลอกต้มประชาชน

ประเทศเสียเวลาครึ่งทศวรรษ ตนไม่เข้าใจจะยื่นญัตติให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยอีกทำไม เพื่อซ้ำรอยการยื่นญัตติของนายชูศักดิ์ ศิรินิล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทยทำไม ทั้งนี้ตนขอให้สมาชิกรัฐสภาใช้อำนาจที่รับมาจากประชาชนทำเพื่อประชาชน หยุดโรงลิเกหลอกต้มประชาชน หยุดการสร้างสภาโจ๊กซีซั่นสอง

“ไม่ใช่เสียเวลาศาล แต่เสียเวลาชีวิตประชาชน ที่ประเทศย่ำอยู่กับที่ ต้นตอปัญหาโครงสร้างของประเทศคือ รัฐธรรมนูญ 2560 ทำไมปากพูดแต่ไม่ลงมือทำ ผมจึงไม่เห็นด้วยส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความ” นายวิโรจน์ อภิปราย

ขณะที่ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว สส.น่าน พรรคเพื่อไทย อภิปรายสนับสนุนการส่งญัตติ ตอนหนึ่งว่ามีความพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตลอด ทั้งยื่นแก้ทั้งฉบับและรายมาตรา ทั้งนี้ต้องยอมรับว่าระบบรัฐสภาเป็นเสียงข้างมากต้องยอมรับ ขณะที่เสียงข้างน้อยต้องตรวจสอบ  ทักท้วง ปัจจุบันเสียงข้างมากเป็นอย่างไรต้องเคารพ ทั้งนี้การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ต้องการทำให้สำเร็จ ต้องทำให้ทุกฝ่ายเห็นร่วมที่ตรงกัน เพราะมาตรา 256 เป็นกลไกที่ทำให้แก้รัฐธรรมนูญไม่ได้ หากไม่มีความเห็นร่วมกัน ปี2570 ไม่สามารถแก้รัฐธรรมนูญได้

“การพิจารณาคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญทุกคนมีสิทธิตีความ การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ด้วยการร่างแก้ไขเพิ่มเติมมีหมวด 15/1 ว่าด้วยการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทำให้ตีความเป็นการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ แต่ผมตีความว่าหากรัฐสภาต้องการทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ คือ รัฐสภามีมติเห็นชอบให้นับหนึ่งได้ และการแก้รัฐธรรมนูญต้องทำประชามติ จึงสามารถถามคำถามไปพร้อมกันได้ แต่การยึดว่าเป็นความเห็นถูกไม่ได้เพราะมีความเห็นต่าง จึงต้องยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความ"นพ.ชลน่าน อภิปราย

นพ.ชลน่าน อภิปรายต่อว่าหากดื้อส่งรัฐธรรมนูญให้รัฐสภาพิจารณาแต่ถูกตีตก ต้องรอยื่นใหม่สมัยประชุมถัดไป แต่หากทำโดยละมุนละม่อนให้ศาลรัฐธรรมนูญ หากคำวินิจฉัยเป็นประโยชน์จะทำให้จบได้ หากต้องการรัฐธรรมนูญต้องเอารัฐธรรมนูญ การเมืองยุคนี้เป็นการเมืองกระแส แต่การสร้างกระแสไม่จริง คือการทำร้ายประชาชน ในทางเศรษฐศาสตร์เรียกทฤษฎีต้มกบ แต่ในทางการเมืองไม่รู้เรียกต้มอะไร แต่ต้มประชาชนแน่นอน ดังนั้นต้องส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความ