ธง‘ดีเอสไอ’ทุบ‘สีน้ำเงิน’ ผ่า ‘3กลุ่ม’ บีบสว.เปลี่ยนสี

ธง‘ดีเอสไอ’ทุบ‘สีน้ำเงิน’  ผ่า ‘3กลุ่ม’ บีบสว.เปลี่ยนสี

จับตามติบอร์ดดีเอสไอ ถกรับโพยฮั้วสว.เป็นคดีพิเศษ6มี.ค. แผนทุบสว.สีน้ำเงินให้แตกกระจายเพื่อรอจังหวะ“เปิดโปร” ช้อนเข้าค่าย  

KEY

POINTS

  • จับตามติบอร์ดดีเอสไอ ถกรับโพยฮั้วสว.เป็นคดีพิเศษ6มี.ค. แผนทุบสว.สีน้ำเงินให้แตกกระจายเพื่อรอจังหวะ“เปิดโปร” ช้อนเข้าค่าย
  • เป้าหมายหลักในการเปิดโปร-เปลี่ยนสี อยู่ที่  กลุ่มสีน้ำเงินอ่อน จำนวนบวกลบประมาณ 35-40 คน สอดคล้องกับกระแสข่าวที่หลุดรอดออกมาจาก "เซฟเฮาส์" ย่านซอยรางน้ำ ถึงความไม่พอใจของสว.สีน้ำเงินบางส่วน ต่อการบริหารจัดการภายใน
  • หากดูดสว.กลุ่ม “สีน้ำเงินอ่อน” ได้ รวมกับสว.กลุ่มอื่นๆจะทำให้เสียงสภาสูงที่ไม่ได้อยู่ภายใต้อาณัติสีน้ำเงิน ราวๆ 70-80หากสภาฯมีการพิจารณาวาระสำคัญที่ต้องใช้เสียง1 ใน 3 จะไม่มี “สว.สีน้ำเงิน” มาเป็นเสี้ยนหนามกวนใจอีกต่อไป

หลังคณะอนุกรรมการกลั่นกรองด้านอาชญากรรมระหว่างประเทศและอาชญากรรมพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) เมื่อวันที่ 3 มี.ค. มีความเห็นกรณีการยื่นสอบกระบวนการคัดเลือกสมาชิกวุฒิสภา ปี 2567 ที่อาจเข้าข่ายความผิดตามกฎหมาย ประกอบด้วย ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 209 (อั้งยี่) มาตรา 116 (ยุยงปลุกปั่น) มาตรา 77 (1) แห่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา และ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542

โดยเห็นว่า คดีดังกล่าวมีลักษณะเข้าข่ายเป็นคดีพิเศษตามมาตรา 21 แห่ง พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษสมควรเสนอให้บอร์ดคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) พิจารณารับเป็นคดีพิเศษในวันที่ 6 มี.ค.นี้ 

ต้องจับตามติบอร์ดดีเอสไอ 2 ใน 3 จากกรรมการ 22 เสียงที่จะชี้ขาดว่าจะรับคดีดังกล่าวเป็นคดีพิเศษหรือไม่ 

ด้วยท่าทีขึงขังของ “ทวี สอดส่อง” รมว.ยุติธรรม ที่ออกอาการมั่นอกมั่นใจในการประชุม กคพ.วันที่ 6 มี.ค.จะได้ข้อสรุปว่า จะรับหรือไม่รับเป็นคดีพิเศษ และเรื่องต้องจบ

หรือแม้แต่ล่าสุด ที่มีการปล่อยเอกสารลับแบบ “ตั้งใจหลุด” 1,200 รายชื่อ ซึ่งดีเอสไอเตรียมเรียกไต่สวนพยานในคดี “โพยฮั้วสว.” ล็อกเป้าไปที่ 10 จังหวัด ซึ่งล้วนเป็นฐานเสียง “สีน้ำเงิน” แทบทั้งสิ้น

ธง‘ดีเอสไอ’ทุบ‘สีน้ำเงิน’  ผ่า ‘3กลุ่ม’ บีบสว.เปลี่ยนสี

แน่นอนว่า สัญญาณที่เกิดขึ้นเวลานี้ย่อมเป็นการตอกย้ำเกม “ล้างกระดาน” สีน้ำเงิน ซึ่งเป็นอุปสรรคขวากหนามทางดุลอำนาจของ “พรรคแดง” ในฐานะเบอร์หนึ่งรัฐบาลในเวลานี้ ที่นับวันจะสร้างเกมต่อรองหนักข้อขึ้นทุกที

จับอาการของแต่ละฝ่ายเวลานี้ ต่างมีธงอย่างชัดเจน “ฝั่งแดง”เปิดฉากผ่าน “สงครามตัวแทน” ล็อบบี้เสียงบอร์ดดีเอสไอ “รับ” คดีดังกล่าวเป็นคดีพิเศษ ขณะที่ “ฝั่งน้ำเงิน” วางเกมเอาคืนผ่านสว.สีน้ำเงิน ด้วยการยื่นป.ป.ช.สอบจริยธรรม “ทวี” และ “ยุทธนา แพรดำ” อธิบดีดีเอสไอ  แบบเร่งด่วน เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา แถมเปิดดีลล็อบบี้เสียงบอร์ดดีเอสไอ เพื่อ “ไม่รับ” คดีดังกล่าวเป็นคดีพิเศษ 

เป็นที่มาของ “เกมยื้อ” บอร์ดดีเอสไอ และนัดชี้ขาดอีกครั้งในวันที่ 6 มี.ค.

ธง‘ดีเอสไอ’ทุบ‘สีน้ำเงิน’  ผ่า ‘3กลุ่ม’ บีบสว.เปลี่ยนสี

ด้วยอาการที่ต่างฝ่ายต่างถือมีดคนละด้าม รอจังหวะจ้วงแทงกันในเวลานี้ ลึกๆ อาจหวังผลไปที่การทุบสว.สีน้ำเงินให้แตกกระจายเพื่อรอจังหวะ“เปิดโปร” ช้อนเข้าค่าย  

มีการประเมินว่า แม้เสียงส่วนใหญ่ใน “สภาสูง” จะไปกระจุกตัวอยู่ที่ “สีน้ำเงิน” เกือบ 160 เสียง แต่หากแยกย่อยลงลึกจริงๆ กลับพบว่าแบ่งเป็น 3 กลุ่มหลักๆ 

กลุ่มแรก สายสีน้ำเงินเข้มข้น ซึ่งเป็นสายตรงที่มีความใกล้ชิดแนบแน่นกับ “นายใหญ่สีน้ำเงิน” หรือคีย์แมนพรรคสีน้ำเงิน อาทิ  มงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา อภิชาติ งามกมล พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ แสงเพชร ซึ่งเป็นสายตรงบุรีรัมย์ หรือ แม้แต่ “บิ๊กเกรียง”พล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์ รองประธานวุฒิสภา คนที่ 1 ซึ่งมีความสนิทสนมกับ “มท.หนู” อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย

กลุ่มนี้ยังคงเหนียวแน่นกับ “นายใหญ่สีน้ำเงิน” เห็นชัดถึงการออกแอ็กชั่น รวมถึงการเดินเกมแบบดุเดือดในช่วงที่ผ่านมา 

ธง‘ดีเอสไอ’ทุบ‘สีน้ำเงิน’  ผ่า ‘3กลุ่ม’ บีบสว.เปลี่ยนสี

 

กลุ่มที่สอง กลุ่มนี้อาจต้องออกแรงหนัก หรือมีเงื่อนไขเป็นที่น่าพอใจอยู่พอสมควร

โดย 2 กลุ่มแรก มี สว.รวมกันราวๆ 130 คน

ฉะนั้น เป้าหมายหลักในการเปิดโปร-เปลี่ยนสี จึงอยู่ที่ กลุ่มที่สาม กลุ่มสีน้ำเงินอ่อน จำนวนบวกลบประมาณ 35-40 คน

สอดคล้องกับกระแสข่าวที่หลุดรอดออกมาจาก "เซฟเฮาส์" ย่านซอยรางน้ำ ถึงความไม่พอใจของสว.สีน้ำเงินบางส่วน ต่อการบริหารจัดการภายใน ที่ไม่ได้ตามเงื่อนไขที่ตกลงกันไว้ แถมบางโควตา บางตำแหน่ง ถูกมองว่า มีการจัดสรรให้เฉพาะเป็นคนใกล้ชิดบ้านใหญ่บุรีรัมย์เท่านั้น 

เช่นนี้จึงมีการประเมินว่า หากชิงจังหวะดูดสว.กลุ่ม “สีน้ำเงินอ่อน” ได้ เมื่อรวมกับสว.กลุ่มอื่นๆ ที่ไม่ได้ขึ้นตรงกับ “สีน้ำเงิน” มาตั้งแต่ต้น  ไม่ว่าจะเป็น “สว.สีขาว” ที่มี “หมอเปรมศักดิ์ เพียยุระ”  เป็นคีย์แมน ซึ่งมีสายสัมพันธ์กับค่ายสีแดง มีเสียงในสภาสูง ราวๆ13 คน  สว.สายอิสระ 11 คน และสว.พันธ์ุใหม่  นำโดย “นันทนา นันทวโรภาส” อีก19คน

 ก็จะทำให้เสียงในสภาสูงที่ไม่ได้อยู่ภายใต้อาณัติสีน้ำเงิน ราวๆ 70-80 เสียง  สอดคล้องกับสมการ “80 เสียง” พลิกกระดานการเมืองที่“ผู้มากบารมี”บางพรรค หยิบมาโชว์หากปฏิบัติการดังกล่าวประสบผลสำเร็จ

เช่นนี้แน่นอนว่า หากสภาฯมีการพิจารณาวาระสำคัญที่ต้องใช้เสียงสว.1 ใน 3 หรือ 66 เสียง จากสว.ที่ปฏิบัติหน้าที่ปัจจุบัน198 คน(สมชาย เล่งหลัก หยุดปฏิบัติหน้าที่ สุพรรณ์ ศรชัย เสียชีวิต) 

ก็จะสามารถปลดล็อกได้โดยไม่มี “สว.สีน้ำเงิน” มาเป็นเสี้ยนหนามกวนใจอีกต่อไป

โดยเฉพาะวาระร้อนแก้รัฐธรรมนูญ ที่ยังค้างคาอยู่ในสภาฯ  และจะมีการประชุมร่วมรัฐสภา ครั้งต่อไปวันที่ 17 มี.ค.เพื่อพิจารณาญัตติขอให้รัฐสภาส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตามญัตติของ "หมอเปรมศักดิ์ เพียยุระ"  สว. และญัตติของ "วิสุทธิ์ ไชยณรุณ"  สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย

ซึ่งเป็นที่รู้กันว่า เป็นการแก้เกมของพรรคเพื่อไทย เพื่อประวิงเวลาไม่ให้“สว.สีน้ำเงิน” และ “พรรคสีน้ำเงิน” โหวตคว่ำร่างรัฐธรรมนูญจนนำไปสู่หนทางลงเหวหลังจากนี้

ทั้งหมดทั้งมวลจึงเป็นการตอกย้ำถึงฉากการฟาดฟันกันระหว่าง “แดง” และ “น้ำเงิน” ที่นับวันจะยิ่งดุเดือดมากขึ้นเรื่อยๆ