ปัญหา 'อุยกูร์' เสียงสะท้อนผู้ปฏิบัติ

จากผู้ปฏิบัติ ไม่มีใครเถียงว่า “ปัญหาอุยกูร์” แก้ไขยากมาก ฉะนั้นเราจึงต้องการผู้นำจากฝ่ายการเมืองที่มีวิสัยทัศน์ รอบรู้ และรอบคอบ โดยเฉพาะกับปัญหาที่มีความละเอียดอ่อน และอยู่ในเกมมหาอำนาจ
ประเด็นส่งกลับ “อุยกูร์ 40 ชีวิต” กลายเป็นกระแสร้อนรับศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพราะเกิดขึ้นวันเดียวกับที่ฝ่ายค้านยื่นซักฟอกพอดี
เรื่องนี้ทำท่าไม่จบง่าย และมีแนวโน้มบานปลาย เพราะมหาอำนาจฝั่งตะวันตกออกมาเคลื่อนไหวรุนแรง
ฟังข้อมูลจากอดีตผู้บังคับบัญชาระดับสูงของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง หรือ สตม. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเคยแก้ปัญหาอุยกูร์มาแล้ว จะพบความจริงอีกด้านหนึ่งว่า เรื่องนี้มีความซับซ้อนจริงๆ และไทยเหมือนยืนอยู่ระหว่างเขาควาย การตัดสินใจจึงต้องรอบคอบสุดๆ
คำถามคือการตัดสินใจส่งกลับ ได้คิดอย่างรอบคอบแล้วหรือยัง บวกกับมาตรการที่นำมาใช้เหมาะสมแค่ไหน
อดีตบิ๊ก สตม.รายนี้ เล่าว่า สมัยหนึ่ง “อุยกูร์” กับ “โรฮิงญา” ลอบเข้าไทยมาเยอะ เป็นปัญหาคล้ายๆ กัน คือจับกุมได้ แต่ส่งกลับไม่ได้
กรณี “อุยกูร์” ต้องการเดินทางผ่านไทยไปมาเลเซีย เพื่อเดินทางต่อไปยังประเทศตุรกี ซึ่งมีเครือข่ายรองรับอยู่แล้ว ทั้งชาวอุยกูร์เอง และกลุ่มชาวเติร์กที่สนับสนุน โดยที่มาเลเซียก็มีคนรอรับ เพื่อส่งต่อไปยังตุรกี
แต่ปัญหาของไทย คือ กฎหมายคนเข้าเมือง (พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2522) เขียนเอาไว้ว่า ถ้าพบคนหลบหนีเข้าเมือง เมื่อจับกุมได้ต้องส่งกลับประเทศต้นทางที่ตนเองมีสัญชาติ ซึ่งกรณีของ “อุยกูร์” ก็ต้องส่งกลับจีน โดยเฉพาะคนที่ถือหนังสือเดินทาง หรือพาสปอร์ต
แต่องค์กรด้านสิทธิมนุษยชน และชาติตะวันตก โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาไม่ยินยอม ทั้งยูเอ็น ชาติมหาอำนาจไม่ยินยอม อ้างว่าส่งกลับไปจะเป็นอันตราย ถูกลงโทษหนักถึงแก่ชีวิต และขู่จะคว่ำบาตร เพราะชาวอุยกูร์ขัดแย้งกับรัฐบาลจีน
ขณะที่ไทยจะส่งชาวอุยกูร์ต่อไปยังตุรกีตามที่คนเหล่านี้ต้องการก็ไม่ได้ เพราะจีนไม่ยอม เกรงว่าจะไปฝึกอาวุธ ฝึกการก่อการร้าย แล้ววนกลับไปก่อเหตุในจีน ซึ่งที่ผ่านมาก็เคยจับกุมได้หลายครั้ง ไทยจึงเหมือนอยู่หว่างกลางเขาควาย
ฉะนั้นการส่งกลับตามกฎหมายไทย จึงต้องเป็นความลับทุกครั้ง เพราะถ้าไม่ส่งกลับ ก็จะถูกขังลืม และเสียชีวิตในห้องกัก ตายในห้องกัก กลายเป็นการทรมานมากกว่า และคนเหล่านี้กระทำผิดด้วยโทษเพียงเล็กน้อย คือ หลบหนีเข้าเมือง
“ตลอดกว่า 10 ปีที่ผ่านมา ไทยทำอะไรไม่ได้ ต้องรับภาระ และควบคุมในห้องกักตลอดมา พามาออกกำลังกาย คนเหล่านี้ก็หลบหนี นำตัวไปกักทางภาคใต้ก็ไม่ได้ เพราะพยายามหนีลงใต้อยู่แล้ว เนื่องจากทะลุไปมาเลเซียได้ จึงต้องกระจายไปทางภาคอีสาน” เป็นข้อมูลจากอดีตบิ๊ก สตม.
แต่การส่งกลับชาวอุยกูร์แบบลับๆ ในอดีต เคยเป็นต้นเหตุของความไม่พอใจ และนำมาสู่การลอบวางระเบิดศาลพระพรหมเอราวัณ เมื่อวันที่ 17 ส.ค.2558 มาแล้ว โดยครั้งนั้นส่งกลับไปร้อยกว่าคนทางเครื่องบิน จากนั้นไม่นานก็เกิดระเบิด
ส่วนการส่งกลับครั้งนี้ ทราบว่ามีการยืนยันถึงเรื่องสิทธิมนุษยชน และมีข้าราชการระดับสูงฝ่ายความมั่นคงของไทยตามไปสังเกตการณ์ด้วย (นายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ) รัฐบาลจึงตัดสินใจ มิฉะนั้นก็จะคาราคาซังต่อไป
อีกคนหนึ่งที่มีข้อมูลเกี่ยวกับปัญหา “อุยกูร์” เป็นอย่างดี เพราะเป็นอดีตหัวหน้าหน่วยงานด้านความมั่นคงระดับประเทศ ในช่วงที่มีการส่งกลับอุยกูร์ในรัฐบาลลุงตู่ และเกิดเหตุระเบิดศาลพระพรหมตามมา
อดีตหัวหน้าหน่วยงานความมั่นคง อธิบายความยากในการจัดการปัญหาอุยกูร์
1.ที่มีการวิจารณ์ว่า มีประเทศที่สามพร้อมรับ แต่รัฐบาลไม่ยอมส่งนั้น
- เรื่องนี้แม้จะจริง แต่ก็ไม่ทั้งหมด โดยเฉพาะในส่วนของตุรกี ในอดีตรับชาวอุยกูร์ทั้งหมด เพราะถือเป็นชาติพันธุ์เติร์กเหมือนกัน และชาวอุยกูร์พลัดถิ่นในตุรกีก็มีการตั้งเครือข่าย รวมตัวกันเป็นองค์กรช่วยเหลือชาวอุยกูร์ในซินเจียงของจีนด้วย
- แต่บรรยากาศเช่นนั้น เกิดขึ้นในรัฐบาลตุรกีชุดที่แล้ว แต่รัฐบาลชุดปัจจุบัน นโยบายตรงกันข้าม คือไม่ยุ่งกับผู้อพยพ หรือผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์
2.ชาวอุยกูร์ หรือ “ชาติพันธุ์อุยกูร์” มีกลุ่มที่เรียกร้องเอกราช ต้องการแยกตัวจากจีน และมีชาติมหาอำนาจสนับสนุน เนื่องจาก
- มณฑลซินเจียงของจีน ซึ่งมีชาวอุยกูร์เป็นประชากรส่วนใหญ่ เดิมเป็นอาณาจักร มีประวัติศาสตร์ยาวนานและยิ่งใหญ่ แต่ถูกจีนควบรวมตั้งแต่สมัยราชวงศ์ชิง จึงมีแนวคิดแยกตัวเป็นเอกราชจากจีน
- ได้รับการสนับสนุนจากชาติมหาอำนาจ เพราะมณฑลซินเจียงเป็นแหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ มีพลังงานลม และแร่ธาตุมหาศาล
- พื้นที่ซินเจียงเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ และความมั่นคง หากจีนสูญเสีย หรือมีปัญหาด้านความมั่นคง จะเท่ากับเปิดหน้าให้ถูกรุกรานได้ง่ายทางฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือ
ขณะที่อีกด้าน มณฑลซินเจียงเป็นประตูสู่เส้นทางสายไหม ทั้งวัฒนธรรมและเศรษฐกิจ
- ที่ผ่านมาชาวอุยกูร์มีการรวมตัวกันเป็นองค์กรใหญ่ เคลื่อนไหวในชาติตะวันตก คัดค้านการส่งอุยกูร์กลับจีน และไม่ยอมรับว่าซินเจียงเป็นส่วนหนึ่งของจีน
ทั้งหมดนี้ทำให้จีนต้องเฝ้าระวังการเคลื่อนไหวของชาวอุยกูร์ และไม่ต้องการให้อุยกูร์หลบหนีไปอยู่ประเทศที่สาม เพราะเกรงว่าจะได้รับการฝึกอาวุธ หรือสนับสนุนให้กลับไปก่อความวุ่นวายในจีน ซึ่งส่งผลกระทบทางความมั่นคง
3.ปัญหาของไทย คือ เมื่อจับกุมชาวอุยกูร์ที่หลบหนีเข้าเมืองได้ คนเหล่านี้จะทำลายพาสปอร์ต ทำให้ไม่สามารถพิสูจน์สัญชาติได้ แม้ทางการจีนจะมายืนยัน แต่เจ้าตัวจะโต้ว่าไม่ใช่คนจีน เมื่อไม่มีพาสปอร์ต พิสูจน์สัญชาติไม่ได้ ก็ไม่สามารถส่งกลับประเทศต้นทางได้ จึงต้องกักตัวไว้เรื่อยๆ โดยใช้กฎหมายคนเข้าเมือง
4.ขณะเดียวกัน ปัญหาการเมืองภายในจีน และการเมืองระหว่างประเทศ ทำให้ไทยขยับตัวยาก จะส่งอุยกูร์ไปประเทศที่ 3 ก็ไม่ได้ เพราะจีนจะไม่พอใจ คัดค้าน แต่จะส่งอุยกูร์กลับจีนก็ไม่ได้ เพราะมหาอำนาจ หรือองค์กรสิทธิมนุษยชนรุมประณาม
ทางออกของไทยคือ คุมตัวไว้เรื่อยๆ ป้องกันการถูกวิจารณ์ว่าส่งคนไปตาย แต่ไทยก็ต้องรับภาระเรื่องงบประมาณ และความเสี่ยงอื่นๆ
5.การส่งกลับจีน มีความเสี่ยงจริง เพราะเคยเกิดมาแล้วเมื่อครั้ง “บิ๊กป้อม” เป็นรองนายกฯฝ่ายความมั่นคง แล้วส่งอุยกูร์ 109 คนกลับจีนแบบลับๆ นับจากนั้นไม่นาน ก็เกิดระเบิดศาลพระพรหมที่ราชประสงค์
ฉะน้้นการส่งกลับครั้งนี้ก็มีความเสี่ยง และรัฐบาลก็ทำอย่างไม่โปร่งใสจริงๆ
6.วิธีการส่งกลับอย่างโปร่งใส ก็สามารถทำได้ แม้จะยาก คือ
- พิสูจน์สัญชาติ เมื่อไม่มีพาสปอร์ต ก็ต้องใช้การตรวจเทียบดีเอ็นเอ หรือตรวจสารพันธุกรรมเพื่อดูเชื้อชาติ หรือแหล่งกำเนิด
- ใช้กระบวนการยุติธรรมของไทยในการส่งกลับ แต่ต้องโปร่งใส มีมาตรการด้านความปลอดภัยที่ชัดเจน
- ต้องมีองค์กรสิทธิมนุษยชนที่เป็นกลางเข้าร่วมสังเกตการณ์ และเป็นสักขีพยาน
แต่ปัญหาคือ จีนไม่ยอม เพราะมีแนวโน้มถูกแทรกแซงจากชาติตะวันตก ผ่านองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนได้เหมือนกัน
7.เครือข่ายอุยกูร์ ในบางมิติก็มีความเสี่ยงทางความมั่นคง เพราะมีองค์กรนำพา มีเครือข่ายทั้งในไทย มาเลเซีย และตุรกี พาเข้า-พาออกได้ มีเงินทุนสนับสนุนจากชาติตะวันตก และจากองค์กรของอุยกูร์ในประเทศเหล่านั้น
ฟังจากผู้ปฏิบัติ ไม่มีใครเถียงว่า “ปัญหาอุยกูร์” แก้ไขยากมาก ฉะนั้นเราจึงต้องการผู้นำจากฝ่ายการเมืองที่มีวิสัยทัศน์ รอบรู้ และรอบคอบ โดยเฉพาะกับปัญหาที่มีความละเอียดอ่อน และอยู่ในเกมมหาอำนาจ
คำถามคือ เรามีผู้นำเช่นว่านี้หรือไม่...รอฟังได้จากศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจหนนี้!







