ผ่าเกมรุก‘นายกฯคู่ขนาน’ ล็อกเป้า‘แพทองธาร’ ขยี้ ‘ทักษิณ’

ผ่าเกมรุก‘นายกฯคู่ขนาน’ ล็อก‘แพทองธาร’ ขยี้ ‘ทักษิณ’ ‘ค่ายแดง’ ตั้งรับใน-นอกสภา ย้อนรอย “รัฐบาลบรรหารโมเดล” เหมือน-ต่าง
KEY
POINTS
- การแก้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง ถือเป็นโจทย์ใหญ่ ของรัฐบาลหากยังจำกันได้ ก่อนหน้านี้ "นิด้าโพล" เปิดเผยผลสำรวจ เมื่อเดือนต.ค.2567 ที่ผ่านมา เชื่อมั่นว่า รัฐบาลแพทองธาร จะอยู่ครบเทอมหากฝ่าด่านเหล่านี้ไปได้
- “ดิฉันต้องอยู่ครบเทอม เพื่อผลักดันการลงทุนเพื่อบอกให้เขามั่นใจว่าเราไม่ได้จู่ๆจะเปลี่ยนอีกนะเอะอะยุบสภากันนะ เกมการเมืองเป็นเรื่องหนึ่ง” นายกรัฐมนตรีกล่าวผ่านรายการ “โอกาสไทยกับนายกแพทองธาร” วันที่2มี.ค.
- สารพัด "เกมการเมือง" ที่กำลังเกิดขึ้นเวลานี้ย่อมต้องจับตาเช่นเดียวกัน
- ศึกซักฟอกที่กำลังเปิดฉากในช่วงปลายเดือนมี.ค.นี้ แน่อนว่า แผนซักฟอกเดี่ยว “นายกฯอิ๊งค์” ย่อมหมายรวมไปถึง “ทักษิณ ชินวัตร” ซึ่งถูกเปรียบเปรยว่าเป็น“นายกฯนอกสภา”
- 2ยุค "เหมือน-ต่าง" ซักฟอกเดี่ยวนายกฯ จาก "บรรหารโมเดล" สู่ "แพทองธาร"
ศูนย์สำรวจความคิดเห็น สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้าโพล) วันที่2ก.พ. เปิดเผยผลการสำรวจของประชาชน เรื่อง“6 เดือน รัฐบาลนายกฯ อุ๊งอิ๊ง”สำรวจระหว่างวันที่ 24-26 ก.พ.2568 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมจำนวนทั้งสิ้น 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับความพึงพอใจต่อการทำงานของรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตรนายกฯ ในรอบ 6 เดือนจากการสำรวจ
เมื่อถามถึงความพึงพอใจของประชาชนต่อการทำงานของรัฐบาลภายใต้การนำของนายกฯแพทองธาร รอบ 6 เดือน พบว่า 34.58% ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ32.60%ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ 20% ระบุว่า ไม่พอใจเลย12.82% ระบุว่า พอใจมาก
ขณะเดียวกันเมื่อว่า ความเชื่อมั่นของประชาชนต่อการทำงานของรัฐบาลนายกฯ แพทองธารในการแก้ไขปัญหาของประเทศ พบว่า 36.41%ระบุว่า ไม่ค่อยเชื่อมั่น26.26% ระบุว่า ไม่เชื่อมั่นเลย 25.04% ระบุว่า ค่อนข้างเชื่อมั่น12.29% ระบุว่า เชื่อมั่นมาก
แน่นอนว่ากว่า6เดือนรัฐบาลแพทองธาร ท่ามกลางสารพัดปัจจัยที่รุ้มเร้า โดยเฉพาะการแก้ปัญหาเศรษฐกิจซึ่งถือเป็นหนึ่งโจทย์ใหญ่ที่สำคัญของรัฐบาล
เห็นชัดจากที่สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แถลงตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาสที่ 4/2567 และภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 2567 และแนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2568 เมื่อวันที่13ก.พ. ที่ผ่านมา
พบว่า เศรษฐกิจไทยไตรมาสที่ 4 ขยายตัวได้ 3.2% ส่งให้ทั้งปีเติบโต 2.5 % สูงกว่าปี 2566 อยู่ที่ 0.5%
ประเด็นนี้ในมุมของ “นายกฯอิ๊งค์” ยอมรับผ่านรายการ “โอกาสไทยกับนายกแพทองธาร” วันที่2มี.ค. ที่ผ่านมา แม้เศรษฐกิจจะเติบโตขึ้น แต่ตัวเลขนี้ยังไม่เป็นที่น่าพอใจเนื่องจาก ประเทศไทยถือว่ามีการเติบโตต่ำที่สุดในกลุ่มประเทศอาเซียน
นั่นเป็นเพราะ10 กว่าปีที่ผ่านมาประเทศไทยไม่ค่อยมีการลงทุน ในภาคของอุตสาหกรรมใหม่ๆ
ช่วงหนึ่งนายกฯ ยังกล่าวว่า คิดว่าภายใต้การนำของรัฐบาลนี้พร้อมกับเอกชนร่วมมือกัน จีดีพีมีโอกาสโตขึ้นสูงมากๆ อย่าเพิ่งท้อใจ นี่เพิ่งต้นปี ปัญหาเหล่านี้ต้องอาศัยหลายสิ่งหลายๆอย่างเพื่อช่วยผลักดันจีดีพีเพื่อทำให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายของนักลงทุน
อย่างที่เคยได้ยินไม่ว่าจะเป็น Google TikTok NVIDIA ฉะนั้นในปี2567จึงมีต่างชาติมาลงทุนผ่านบีโอไอ กว่า1.13ล้านล้านบาทสูงสุดในรอบ10ปี
ถอดรหัสนายกฯ“ดิฉันอยู่ครบเทอม”
จริงอยู่ประเด็นการแก้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง ถือเป็นโจทย์ใหญ่ ที่สำคัญของรัฐบาล
หากยังจำกันได้ ก่อนหน้านี้ "นิด้าโพล" เคยเปิดเผยผลสำรวจ เมื่อเดือนต.ค.2567 ที่ผ่านมา เชื่อมั่นว่า รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร จะอยู่ครบเทอมหากฝ่าด่านเหล่านี้ไปได้
ไม่ต่างจาก “นายกฯอิ๊งค์” ที่พูดผ่านรายการถึงการเดินทางไปไปต่างประเทศเพื่อเข้าร่วมประชุมWorld Economic Forumปี 2025 หรือWEF 2025เมืองดาวอส สมาพันธรัฐสวิส เมื่อเดือนม.ค.ที่ผ่านมา ได้ให้ความมั่นใจว่าเราจะทำเรื่องนี้เต็มที่ดันเรื่องการลงทุน
“ดิฉันต้องอยู่ครบเทอม เพื่อผลักดันการลงทุนเพื่อบอกให้เขามั่นใจว่าเราไม่ได้จู่ๆจะเปลี่ยนอีกนะเอะอะยุบสภากันนะ เกมการเมืองเป็นเรื่องหนึ่ง”
ทว่าสารพัด "เกมการเมือง" ที่กำลังเกิดขึ้นเวลานี้ย่อมต้องจับตาเช่นเดียวกันไม่ว่าจะเป็นสารพัดเกมวัดพลังในซีกรัฐบาลที่ต่างฝ่ายต่างเปิดฉากใส่กันไม่เว้นแต่ละวัน
เหนือไปกว่านั้นศึกซักฟอกที่กำลังเปิดฉากในช่วงปลายเดือนมี.ค.นี้ แน่อนว่า แผนซักฟอกเดี่ยว “นายกฯอิ๊งค์” ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลที่ว่าฝ่ายค้านข้อสอบรั่ว ต้องเปลี่ยนแผนกระทันหัน หรือเป็นแผนสับขาหลอกปล่อย10ชื่อ ซักฟอกจริงแค่หนึ่งก็แล้วแต่
แต่ที่แน่ๆเป้าประสงค์หลักของการซักฟอกครั้งนี้จะไม่ได้อยู่ที่ “นายกฯอิ๊งค์”คนเดียวแน่นอน แต่หมายรวมไปถึง “ทักษิณ ชินวัตร” ซึ่งถูกเปรียบเปรยว่าเป็น “สทร.ทักษิณ” หรือ “นายกฯนอกสภา” ตามฉายารัฐบาลพ่อเลี้ยง
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ดินอัลไพน์กรณีนายกฯอิ๊งค์ กรณีถือหุ้น และ การพักรักษาตัวชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจของ “ทักษิณ” ที่มีคดีอยู่ใน “ป.ป.ช.”
แน่นอนว่า ในสภาวะที่ฝ่ายค้านไม่ได้เข้มแข็งเหมือนในอดีต ซ้ำร้ายยังอาจมีหนอนบ่อนไส้คอยส่งข้อมูลให้อีกฝั่ง การที่ยื่นซักฟอกนายกฯเพียงคนเดียวอาจส่งผลดีมากกว่า
เพราะนอกเหนือจะง่ายต่อการคอลโทรลแล้ว ลึกๆพรรคส้มอาจต้องการสร้างแรงกระเพื่อม ทำให้เกิดการต่อรองในพรรคร่วมรัฐบาลที่เวลานี้กำลังอลหม่านปั่นป่วน จากสารพัดปมร้อนที่เปิดฉากซัดกันเอง
ทั้งจากปมร้อน"เขากระโดง" วัดพลัง "อัลไพน์" ล่าสุดยังมีกรณีสอบโพยฮั้วสว. ต่อเนื่องมาถึงการเปิดฉากผ่านวงกมธ. ปกครอง “ขยี้กล่องดวงใจ”นายใหญ่บ้านจันทร์ฯ ด้วยการไล่บี้ถามถึงมาตรฐานความเหมือนความต่างระหว่าง“สนามกอล์ฟแรนโช ชาญวีร์ฯ”และ“เทมส์วัลลีย์เขาใหญ่”ธุรกิจครอบครัวชินวัตร
จุดนี้อาจเป็นเกมเข้าทางฝ่ายค้านหยิบประเด็นนี้ในช่วงที่รัฐบาลกำลัง"ระส่ำระสาย"มาขยี้แผลในสภา
โดยเฉพาะ “พรรคสีน้ำเงิน” ที่กำลังถูกจับตาบทบาทการเล่นเกมวัดใจผ่านผลการลงมติไว้วางใจ-ไม่ไว้วางใจ ว่าจะออกหน้าไหน
แน่นอนว่า แผนดังกล่าวย่อมล่วงรู้ไปถึงนายใหญ่ “บ้านจันทร์ส่องหล้า” เห็นชัดถึงการเปิดวอร์รูมบ้านพิษณุโลก ถกทีมที่ปรึกษานายกฯ เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาเตรียมแผนตั้งรับทั้ง "ศึกในขั้ว" และ "ศึกนอกขั้ว"
ไม่ต่างจากการการแก้เกม "ค่ายแดง" จัดทีมองครักษ์พิทักษ์นายน้อย แถมชิงหักดิบปิดเกมส้มด้วยการเปิดซักฟอกเพียงวันเดียว เพื่อตัดเกมป่วน
‘บรรหาร’โมเดลซักฟอกเดี่ยวนายกฯ
เหนือไปกว่านั้น ศึกซักฟอกรอบนี้มีการเปรียบเทียบไปในยุค รัฐบาลบรรหาร ศิลปอาชา เมื่อปี 2539 ซึ่งมีพรรคประชาธิปัตย์ เป็นแกนนำแกนนำพรรคฝ่ายค้าน และยื่นญัตติขออภิปรายไม่ไว้วางใจ “บรรหาร ศิลปอาชา” ในฐานะนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่ากระทรวงมหาดไทยเพียงคนเดียวแต่กินเวลา 4 วัน (วันที่ 18-20 ก.ย.2539)
ท่ามกลางข้อกล่าวหาและตั้งข้อสงสัย 13 ประเด็น อาทิ การแปลงสัญชาติ, การหนีภาษีขายที่ดินให้ธนาคารแห่งประเทศไทย, รับเงินสนับสนุนจากผู้ต้องหาคดียักยอกเงินธนาคารกรุงเทพพาณิชย์การ ฯลฯ
ก่อนการลงมติอภิปรายไม่ไว้วางใจ พรรคร่วมรัฐบาลเรียกประชุมและมีมติให้บรรหาร ลาออกจากนายกฯ ถ้าไม่ลาออก พรรคร่วมรัฐบาล จะไม่ยกมือไว้วางใจให้ แต่บรรหารต่อรองขอลาออกภายใน 7 วันแทน
ผลการต่อรองทำให้ “บรรหาร” ได้รับเสียงไว้วางใจ 207 เสียง ไม่ไว้วางใจ 180 เสียง สุดท้าย “บรรหาร” ไม่ได้ลาออกตามที่กล่าวอ้าง แต่ใช้อำนาจของนายกฯ ตรา พ.ร.ก.ยุบสภา ในวันที่ 27 ก.ย. 2539ในท้ายที่สุด
ต้องจับตาการเมืองที่ขับเคี่ยวชิงชัยในเวลานี้ จะว่าไป ด้วยบริบทการเมืองทั้ง2ยุคก็มีทั้งความ “เหมือน”และ “ต่าง”
อย่างที่รู้กันการเมืองยุคนี้ซึ่งมีการกล่าวขานว่าเป็นการเมืองยุค“3ก๊ก” แดง น้ำเงิน ส้ม ทุกจังหวะย่างก้าวทางการเมืองทั้งหมดทั้งมวลที่ต้องขึ้นอยู่กับ “นายใหญ่” ตัวจริง







