ทางสามแพร่ง ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ วัดใจ‘รัฐบาล’ ลุยไฟ

วัดใจรัฐบาลขนานใหญ่ ท่ามกลางโจทย์สำคัญ เร่งปั้มตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจ การนำธุรกิจใต้ดินขึ้นบนดิน เพื่อเก็บภาษี คงต้องพิจารณากันอย่างรอบคอบ
KEY
POINTS
- ช่วงนี้รัฐบาลขึงขังกวาดล้างบุหรี่ไฟ้ากันเป็นพิเศษ
- ปฏิเสธไม่ได้ว่าเด็กและเยาวชนเข้าถึงกันอย่างกว้างขวาง ซื้อง่ายขายคล่อง
- กลายเป็นธุรกิจใต้ดินมูลค่ามหาศาล เปิดช่องทุจริตตั้งแต่ขั้นตอนลักลอบนำเข้า
- ล่าสุด กมธ.บุหรี่ไฟฟ้า เคาะ3แนวทางผลการศึกษา ก็อยู่ที่รัฐบาลจะตัดสินใจอย่างไร
ประเด็นปัญหาด้านสังคมที่ส่งผลกระทบต่อเด็กและเยาวชนในปัจจุบันเป็นอย่างมาก ปฏิเสธไม่ได้ว่า“บุหรี่ไฟฟ้า” คือหนึ่งในนั้น ซึ่งกำลังแพร่หลายเป็นที่นิยมอย่างกว้างขวาง ไม่เว้นแม้แต่ รัฐมนตรี สส.หรือนักการเมืองเองก็นิยมใช้กันเป็นปกติชินตา
สวนทางมาตรการกฎหมายของไทย ที่ยังห้ามนำเข้าและจำหน่าย การจับกุมกวาดล้างที่เป็นข่าวทุกวัน หรือการรณรงค์ต่างๆ ดูจะยังไม่ได้ผลเท่าที่ควร ทุกวันนี้ยังหาซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ได้อย่างสะดวกสบาย ไร้การควบคุม
เรื่องนี้มีการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษากฎหมายและมาตรการควบคุมกำกับบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทย ของสภาผู้แทนราษฎร ขึ้นมาพิจารณาศึกษาหามาตรการที่ควรจะเป็นในการกำกับควบคุมบุหรี่ไฟฟ้า
จะเป็นการเปิดพื้นที่ถกเถียงในประเด็นที่ท้าทายสังคมค่อนข้างมาก เพราะมีทั้งคนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยจำนวนมาก ไม่ต่างกับเรื่องกาสิโนถูกกฎหมาย หรือพนันออนไลน์ถูกกฎหมาย พรรคร่วมรัฐบาลพรรคหลัก และพรรคร่วมฝ่ายค้านพรรคสำคัญ ต่างเคยประกาศสนับสนุนจะทำให้ถูกกฎหมายตั้งแต่สมัยหาเสียงเลือกตั้ง
หนทางข้างหน้าของบุหรี่ไฟฟ้า ตามที่บางฝ่ายอยากเห็นมีกฎหมายควบคุม น่าจะใช้เวลาอีกนานพอสมควร หากผ่านสภาฯรับทราบรายงาน ก็จะส่งต่อไปยังคณะรัฐมนตรี ก็ต้องลุ้นต่ออีกว่า ครม. จะเห็นชอบหลักการแล้วตั้งเรื่องดำเนินการต่อหรือไม่อย่างไร
บุหรี่ไฟฟ้าจึงต้องฝ่าอีกหลายด่าน กว่าจะขึ้นบนดินได้อย่างเต็มตัว เนื่องจากเครือข่ายที่รณรงค์ต่อต้านในไทยก็มีความเข้มแข็งพอสมควร
เมื่อเปิดรายงานผลการศึกษาของ กมธ.บุหรี่ไฟฟ้า แน่นอนว่า ข้อมูลเรื่องสุขภาพถูกหยิบยกขึ้นมาค่อนข้างมาก ว่ามีกระทบอย่างไร
รวมถึงข้อห่วงใยและเน้นย้ำถึงมาตรการป้องกันต่อเด็กและเยาวชน ก็เป็นหัวใจสำคัญ เนื่องจากปัญหาทุกวันนี้บุหรี่ไฟฟ้า ถูกนิยามโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่าเป็นภัยคุกคามใหม่ในสถานศึกษา
ขณะเดียวกัน ในรายงานดังกล่าวมีการนำเสนอข้อมูลด้านเศรษฐกิจ ของมูลนิธิสถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง ระบุว่า มีการลักลอบนำเข้าและบริโภคบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศอย่างต่อเนื่อง จึงควรมีการประเมินในเชิงประสิทธิภาพของมาตรการ หรือทางเลือกของมาตรการเพื่อบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เช่น กรณีของสหรัฐอเมริกา แคนาดา สหภาพยุโรป มีมาตรการควบคุม ได้แก่ กำหนดกฎระเบียบผู้ขาย ควบคุมสถานที่สูบ กำหนดลักษณะอุปกรณ์ให้ความร้อน ควบคุมการทำการตลาดและบรรจุภัณฑ์ กำหนดโครงสร้างภาษีแบบเจาะจง
ข้อมูลตอนหนึ่งระบุว่า จากการคาดการณ์สำหรับประเทศไทยการใช้บุหรี่ไฟฟ้ามีแนวโน้มเติบโต ร้อยละ 5 ต่อปี ภายในระยะเวลา 5 ปีข้างหน้า มูลค่าเกือบ 15,000ล้าน โดยในปัจจุบันมูลค่าตลาดในประเทศไทย ประมาณกว่า 6,000 ล้านบาท ก่อให้เกิดเศรษฐกิจนอกระบบ หรือเศรษฐกิจใต้ดิน ดังนั้น การทำให้บุหรี่ไฟฟ้าถูกกฎหมายจะทำให้รัฐเก็บภาษีได้ จากเดิมไม่สามารถทำได้เลย
คณะกรรมาธิการเองที่ได้ไปดูงานที่จีน เกี่ยวกับการบริหารจัดการบุหรี่ไฟฟ้า ก็ได้รับทราบถึงมาตรการควบคุมและป้องกันการเข้าถึงของเด็กและเยาวชนอย่างมีประสิทธิภาพได้นั้น จะต้องมีมาตรการบังคับใช้กฎหมายจริงจัง โดยเฉพาะการเพิ่มโทษแก่ผู้ฝ่าฝืนหรือกระทำผิด มุ่งเน้นผู้จำหน่ายเป็นสำคัญ โดยผู้จำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าในจีนที่ได้ใบอนุญาตจะเกรงกลัวต่อกฎหมาย นอกจากมีโทษแล้วอาจไม่ได้รับอนุญาตให้จำหน่ายอีกต่อไป
ทั้งนี้ ข้อสรุปที่กมธ.บุหรี่ไฟฟ้า ปิดจ๊อบ ประกอบด้วย 3 ทางเลือก ได้แก่
1.บุหรี่ไฟฟ้า และผลิตภัณฑ์ยาสูบแบบให้ความร้อน (Heated Tobacco Products) ทุกประเภท เป็นสิ่งผิดกฎหมาย
2.ผลิตภัณฑ์ยาสูบแบบให้ความร้อน เป็นสิ่งที่ถูกควบคุมตามกฎหมาย
3.บุหรี่ไฟฟ้า และผลิตภัณฑ์ยาสูบแบบให้ความร้อน เป็นสิ่งที่ถูกควบคุมตามกฎหมาย
โดยมีการให้แนวทางปรับปรุงกฎหมาย สนับสนุนแต่ละข้อสรุป ได้แก่ 1.ตราพ.ร.บ.ใหม่เพื่อให้บุหรี่ไฟฟ้าผิดกฎหมายแบบเบ็ดเสร็จ ห้ามผลิต นำเข้า จำหน่าย ครอบครอง และสูบ
ส่วนข้อ 2-3 มีการให้แนวทางว่า ถ้ามีกฎหมายควบคุม จะทำให้เกิดความชัดเจนในการบังคับใช้กฎหมาย เป็นทางเลือกให้ผู้ที่สูบอยู่แล้ว สามารถกำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์ จัดเก็บภาษีได้ ลดการจำกัดสิทธิ์นักท่องเที่ยว เนื่องจากในหลายประเทศเป็นสิ่งที่ถูกกฎหมาย นอกจากนั้นยังเป็นประโยชน์กับเกษตรผู้ปลูกต้นยาสูบ ลดการทุจริตคอร์รัปชั่นจากการลักลอบนำเข้าและจำหน่าย
เรื่องนี้ ต้องวัดใจรัฐบาลขนานใหญ่ จะกล้าลุยไฟหรือไม่ ท่ามกลางโจทย์สำคัญ เร่งปั้มตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการนำสิ่งที่อยู่ใต้ดินขึ้นบนดิน เพื่อเก็บภาษี งานนี้อาจไม่ง่าย คงต้องพิจารณากันอย่างรอบคอบ รอบด้าน ได้คุ้มเสียหรือไม่







