ยกบรรทัดฐานศาลฎีกา กางกฎหมายปม ‘ฮั้ว’ เลือก สว.หน้าที่ใครสอบ?

ยกบรรทัดฐานศาลฎีกา กางกฎหมายปม ‘ฮั้ว’ เลือก สว.หน้าที่ใครสอบ?

อำนาจหน้าที่ในการไต่สวนประเด็น “ฮั้วเลือก สว.” น่าจะเป็นอำนาจหน้าที่ของ กกต.เพียงหน่วยงานเดียวเท่านั้น แต่อาจมีความพยายามจาก “ฝ่ายการเมือง” เข้าไปแทรกแซง

KEY

POINTS

  • กางข้อกฎหมาย-รธน.ส่องอำนาจหน้าที่ กกต.จัดเลือกตั้ง-ไต่สวนเรื่องทุจริต
  • ยกบรรทัดฐานในศาลฎีกา เคยวางมาตรฐานบทบาท “องค์กรอิสระ” ไว้แล้ว
  • ตอนสลายชุมนุมปี 53 “ดีเอสไอ” ฝ่าด่านไปไม่ได้ ชี้ขาดให้ ป.ป.ช.เท่านั้นทำคดี
  • จับตาปม “ฮั้ว” เลือก สว. ลุ้นได้เข้าวินอีกครั้ง หรือกินแห้วอีกรอบ

เกมการเมืองระหว่าง “ค่ายสีแดง” และ “สีน้ำเงิน” กำลังรุกไล่กันอย่างสนุก และโจ่งแจ้ง โฟกัสไปที่เงื่อนปม “ฮั้วเลือก สว.” กำลังถูกประโคมข่าวอย่างหนักจากฝ่ายการเมือง 

“ค่ายเพื่อไทย” ออกแอ็คชั่นอย่างหนัก นำโดย “ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม ในฐานะประธานคณะกรรมการคดีพิเศษ (บอร์ดดีเอสไอ) และ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม เป็นรองประธานฯ นัดประชุมบอร์ดดีเอสไอ 25 ก.พ.นี้ ว่ากันว่าในการหารือครั้งดังกล่าว มีการจับตาว่าจะถกวาระลับเพื่อพิจารณาเรื่องเลือก สว.ดังกล่าวด้วยหรือไม่ 

โดยเฉพาะ “เอกสารลับ” ที่หลุดมาจาก “ดีเอสไอ” ก่อนหน้านี้ ตอบกลับสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในประเด็นการรับเรื่องร้องเรียนฮั้วเลือก สว. โดยภายหลังการสืบสวนเบื้องต้นพบว่า ปรากฏข้อเท็จจริง เชื่อได้ว่ามีขบวนการในรูปแบบคณะบุคคล มีการวางแผนสลับซับซ้อน มีการจ่ายเงินค่าตอบแทน โดยมีการจัดทำโพยฮั้ว สว.จำนวน 2 ชุด กลุ่มละ 7 คน พบว่าเป็นผู้ได้รับการเลือกเป็น สว. จำนวน 138 คน และอยู่ในลำดับสำรอง 2 คน 

พร้อมกับทำหนังสือตอบกลับไปยัง กกต.ระบุว่า การกระทำดังกล่าวอาจเข้าข่ายการกระทำผิดตาม พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2563 มาตรา 77 (1) ความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 209 (ความผิดฐานอั้งยี่) และความผิดฐานฟอกเงินตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542

ทั้งนี้ภายหลังตอบกลับ กกต.ไปแล้วนั้น ในการประชุมบอร์ดดีเอสไอ 25 ก.พ.นี้ มีการนำเสนอระเบียบวาระลับเรื่องดังกล่าวต่อที่ประชุม โดยมีเปิดเผยความเห็นของ “อธิบดีดีเอสไอ” ตอนหนึ่งว่า เรื่องนี้เป็นการกระทำความผิดต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร โดยเป็นการกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือ หรือวิธีการอื่นใดอันมิใช่เป็นการกระทำในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 (3) 209 ประกอบรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 107 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 และความผิดตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542

สำหรับ พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว. มาตรา 77 (1) ระบุว่า ผู้ใดจัด ทำ ให้ เสนอให้ สัญญาว่าจะให้ หรือจัดเตรียมเพื่อที่จะให้ ทรัพย์สิน หรือผลประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้ เพื่อจูงใจให้ผู้อื่นสมัครเข้ารับเลือกเป็น สว. หรือถอนการสมัคร หรือกระทำการใด ๆ อันไม่ชอบด้วยกฎหมายให้ผู้นั้นหมดสิทธิที่จะเลือกหรือได้รับเลือก หรือเพื่อจูงใจให้ผู้สมัคร หรือผู้มีสิทธิเลือกลงคะแนนหรือไม่ลงคะแนนให้แก่ผู้ใด ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 2 หมื่นบาท-2 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้นมีกำหนด 20 ปี

ส่วนประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 (3) ระบุว่า ผู้ใดกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชาชนด้วยวาจา หนังสือ หรือวิธีอื่นใด อันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต เพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี 

มาตรา 209 ระบุว่า ผู้ใดเป็นสมาชิกของคณะบุคคลซึ่งปกปิดวิธีดำเนินการและมีความมุ่งหมายเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมาย ผู้นั้นกระทำความผิดฐานเป็นอั้งยี่ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี และปรับไม่เกินหนึ่งแสนสี่หมื่นบาท

ถ้าผู้กระทำความผิดเป็นหัวหน้า ผู้จัดการหรือผู้มีตำแหน่งหน้าที่ในคณะบุคคลนั้น ผู้นั้นต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี และปรับไม่เกินสองแสนบาท

ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์เสียงค้านจาก “สภาฯสีน้ำเงิน” หลายคน โดยเมื่อ 24 ก.พ.ที่ผ่านมา คณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญกิจการวุฒิสภา หรือ “วิปวุฒิสภา” โดยนายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา พล.อ. เกรียงไกร ศรีรักษ์ รองประธานวุฒิสภาคนที่ 1 และนายบุญส่ง น้อยโสภณ รองประธานวุฒิสภา คนที่ 2 นัดประชุมภายใน “แบบลับ” กรณีดีเอสไอ เตรียมรับคดีการฮั้วเลือกตั้ง สว. 2567 เป็นคดีพิเศษ โดยมีประธานคณะกรรมาธิการสามัญประจำวุฒิสภา จำนวน 21 คณะ ร่วมประชุมด้วย ก่อนที่ “มงคล” จะแถลงสรุปผลการประชุมยืนยันว่า ได้รับเลือก สว.โดยชอบด้วยกฎหมาย และยืนยันดีเอสไอ ไม่มีอำนาจหน้าที่ในการตรวจสอบกรณีดังกล่าว แต่เป็นอำนาจหน้าที่ของ กกต.เพียงหน่วยงานเดียว

ประเด็นที่น่าสนใจ การไต่สวนเรื่อง “ฮั้ว” เลือก สว.ในครั้งนี้ เป็นอำนาจหน้าที่ขององค์กรไหนกันแน่? โดยตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 224 ให้ กกต.มีอำนาจหน้าที่หลัก ๆ 6 อนุมาตรา ในจำนวนนี้ระบุใน (2) ว่า ควบคุมดูแลการเลือกตั้งและการเลือกตาม ((1) ซึ่งหมายรวมการเลือก สว.ด้วย) ให้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ควบคุมดูแลการออกเสียงประชามติให้เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย เพื่อการนี้ให้มีอำนาจสืบสวนหรือไต่สวนได้ตามที่จำเป็นหรือที่เห็นสมควร 

(3) เมื่อผลการสืบสวนหรือไต่สวน หรือเมื่อพบเห็นการกระทำที่มีเหตุอันควรสงสัยว่า การเลือกตั้งหรือการเลือก สว.มิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม หรือการออกเสียงประชามติเป็นไปโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ให้มีอำนาจสั่งระงับ ยับยั้ง แก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือยกเลิกการเลือกตั้ง หรือการเลือก หรือการออกเสียงประชามติ และสั่งให้ดำเนินการเลือกตั้ง เลือก หรือออกเสียงประชามติใหม่ในหน่วยเลือกตั้งบางหน่วย หรือทุกหน่วย

เช่นเดียวกับอำนาจหน้าที่ของ กกต.ที่เผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ พบว่ามีจำนวน 16 ข้อ ตอนหนึ่งระบุว่า กกต.มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการจัดการเลือกตั้ง สืบสวนหรือไต่สวนเพื่อหาข้อเท็จจริงและวินิจฉัยชี้ขาดปัญหาหรือข้อโต้แย้งเกี่ยวกับการเลือกตั้ง สั่งระงับ ยับยั้ง แก้ไขเปลี่ยนแปลง หรือยกเลิกการเลือกตั้ง การเลือก การออกเสียงประชามติ และสั่งให้มีการเลือกตั้ง เลือก ออกเสียงประชามติใหม่ในหน่วยเลือกตั้งบางหน่วยหรือทุกหน่วยเลือกตั้งเมื่อมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่ามีการทุจริตการเลือกตั้ง 

เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งและดำเนินคดีอาญากับผู้สมัคร หัวคะแนน และผู้เกี่ยวข้อง (ให้ใบเหลือง หรือ ใบแดง) สั่งระงับการใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้สมัครไว้เป็นการชั่วคราว เมื่อมีหลักฐานอันควรเชื่อว่าผู้นั้นกระทำหรือรู้เห็นกับการกระทำของบุคคลอื่นที่มีลักษณะเป็นการทุจริตหรือทำให้การเลือกตั้ง มิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม และการดำเนินคดีในศาลเกี่ยวกับความผิดการเลือกตั้งหรือพรรคการเมือง เป็นต้น

หากดูตามตัวบทกฎหมายจะเห็นได้ว่า อำนาจหน้าที่ในการสืบสวนหรือไต่สวนประเด็น “ฮั้วเลือก สว.” น่าจะเป็นอำนาจหน้าที่ของ กกต.เพียงหน่วยงานเดียวเท่านั้น แต่อาจมีความพยายามจาก “ฝ่ายการเมือง” เข้าไปแทรกแซงเพื่อต้องการให้ “บางหน่วยงาน” เข้าไปร่วมตรวจสอบคู่ขนาน “หวังผลทางการเมือง” หรือไม่

ถ้ายึดบรรทัดฐานการทำหน้าที่ของ “องค์กรอิสระ” ตามรัฐธรรมนูญไทย ก่อนหน้านี้เคยมีกรณีตัวอย่างเกี่ยวกับ “ดีเอสไอ” มาแล้ว นั่นคือ การทำคดีสลายการชุมนุมทางการเมืองเมื่อปี 2553 ที่มีภาคประชาชนยื่นคำร้องให้ “ดีเอสไอ” ในยุค “ธาริต เพ็งดิษฐ์” ดำเนินการสอบสวน คู่ขนานไปกับที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ดำเนินการไต่สวน ซึ่งปรากฏชื่อ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” อดีตนายกฯ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” รองนายกฯ ในฐานะ ผอ.ศอฉ. (ขณะนั้น) และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา อดีต ผบ.ทบ. เป็นผู้ถูกกล่าวหา

โดย “ดีเอสไอ” เคยรวบรวมพยานหลักฐานยื่นฟ้องต่อศาลในคดีดังกล่าว กระทั่ง “ศาลฎีกา” มีคำพิพากษาสรุปได้ว่า “ดีเอสไอ” ไม่มีอำนาจหน้าที่ในการไต่สวนคดีนี้ เนื่องจากตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญกำหนดให้ “ป.ป.ช.” เป็นผู้มีอำนาจหน้าที่ไต่สวน

ต่อมา คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติยกคำร้องกล่าวหา “อภิสิทธิ์-สุเทพ-บิ๊กป๊อก” ในคดีดังกล่าว โดยชี้ให้เห็นว่า การชุมนุมของ นปช. ไม่ได้ชุมนุมตามสงบตามรัฐธรรมนูญ โดยอ้างคำพิพากษาของศาล จึงมีเหตุจำเป็นให้ ศอฉ. ใช้มาตรการขอคืนพื้นที่ โดยมีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่นำอาวุธติดตัว หากมีความจำเป็นสามารถนำมาใช้เพื่อระงับยับยั้งสถานการณ์ สถานการณ์เฉพาะหน้า หรือป้องกันตนเองได้ แต่เป็นความรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่ที่ต้องระมัดระวังในการใช้อาวุธ หากภายหลังพิสูจน์ว่า มีการใช้อาวุธโดยไม่สุจริต และเกินกว่าเหตุ จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ จะถือเป็นความผิดเฉพาะตัว เช่นเดียวกับผู้บังคับบัญชาในพื้นที่ที่ต้องรับผิดด้วย หากพิสูจน์ได้ว่า ไม่ระงับยับยั้งลูกน้องที่ใช้อาวุธดังกล่าวเกินกว่าเหตุ จึงส่งเรื่องให้ดีเอสไอดำเนินการสอบสวนกับบุคคลดังกล่าวที่ไม่ใช่ผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 3 ราย ต่อไป

หลังจากนั้น ภาคประชาชนซึ่งเป็นเหยื่อและผู้เสียหายในเหตุการณ์สลายการชุมนุมปี 2553 ยังคงยื่นเรื่องต่อศาลฎีกา ให้วินิจฉัยซ้ำว่ามีสิทธิฟ้องทางตรงหรือไม่ ซึ่งศาลฎีกา ยืนยันตามเดิมว่า ยกเจตนารมณ์ของกฎหมาย และรัฐธรรมนูญ 2550 (มีผลบังคับใช้ขณะนั้น) บัญญัติให้อำนาจหน้าที่การพิจาณาไต่สวนเรื่องดังกล่าวมีแค่ ป.ป.ช.ในฐานะองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญเพียงหน่วยงานเดียวเท่านั้น

เท่ากับว่า “ปิดประตู” การรื้อฟื้นคดีสลายชุมนุม 2553 ขึ้นมาใหม่ได้อีก ยกเว้นจะมีพยานหลักฐานใหม่ที่ไม่เคยถูกไต่สวนมาก่อน ซึ่งต้องยื่นผ่าน ป.ป.ช.ให้ดำเนินการไต่สวนใหม่อีกครั้ง ไม่ใช่ “ดีเอสไอ”

อย่างไรก็ดีบทบัญญัติทางกฎหมาย และข้อกล่าวหาระหว่าง คดีสลายการชุมนุมฯ กับคดีฮั้วเลือก สว.มีความแตกต่างกัน ดังนั้นคงต้องรอดูผลการวินิจฉัยทางกฎหมายว่า การสอบประเด็นดังกล่าว “ดีเอสไอ” จะมีสิทธิเข้าไปดำเนินการ หรือว่า “กินแห้ว” เหมือนที่ผ่านมากันแน่