กลยุทธ์ พท.วางหมากเดินอ้อม พักแก้ รธน.- ‘ประชามติ’ ยกแรก

กระบวนทัพของพรรคเพื่อไทย เลือกวางหมาก "เดินอ้อม" ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อไปสู่การเลือกตั้ง ส.ส.ร. หลังเกิดการงัดข้อกันในรัฐสภาในหมู่พรรคการเมือง 3 ก๊ก
KEY
POINTS
- “พรรคเพื่อไทย” เล่นบท “เดินอ้อม” วางหมากส่งญัตติ ทอดเวลายื้อแก้รัฐธรรมนูญ ให้ศาลรัฐธรรมนูญ ชี้ขาดตามมาตรา 210 ของรัฐธรรมนูญ
- สมัยประชุมรัฐสภานี้ ไม่มีเวลาพอที่ประชุมรัฐสภาเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2 ฉบับของ "พรรคเพื่อไทย" และ "พรรคประชาชน" ได้ทัน คงต้องรอเปิดสมัยถัดไปใน ก.ค.นี้
- ความจริงใจกับเรือธงของ “พรรคเพื่อไทย” ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ คือหลังครบ 180 วันของกฎหมายประชามติ อาจต้องพึ่งช่องทางศาลรัฐธรรมนูญและการออกเสียงประชามติครั้งแรก
- ไม่ว่าผลประชามติยกแรกก่อนจัดทำรัฐธรรมนูญจะออกมาอย่างไร ยังเป็นเกมยากของฝ่ายที่ต้องการเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้ง ส.ส.ร.
- สว.สีน้ำเงิน มากกว่า 67 เสียง รอโหวตคว่ำร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของ 2 พรรคอยู่ทุกเมื่อ
เรือธงนโยบายสำคัญของ “พรรคเพื่อไทย” ที่ประกาศไว้ตอนหาเสียงคือ จัดทำ “รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน” โดยคงรูปแบบการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนและผ่านขั้นตอนการออกเสียงลงประชามติโดยประชาชน
ขณะที่เรือธงของ “พรรคประชาชน” หรือ “พรรคก้าวไกล” ผ่านแคมเปญ “รัฐบาลก้าวไกล ประเทศไทยไม่เหมือนเดิม” โดยชูธง ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ โดยต้องเป็นรัฐธรรมนูญที่ขีดเขียนโดยประชาชน ต้องร่างโดย ส.ส.ร.ที่มาจากเลือกตั้ง 100% และมีอำนาจพิจารณาแก้ไขทั้งฉบับ ทุกหมวดทุกมาตรา เพื่อโอบรับความฝันของทุกคนในประเทศอย่างแท้จริง
ส่วน “พรรคภูมิใจไทย” หาเสียงเน้นนโยบาย “พูดแล้วทำ” ครอบคลุมการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน และการพัฒนาประเทศในอนาคต โดยไม่แตะถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
รูปธรรมที่ชัดเจนของร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อดำเนินการเลือกตั้ง ส.ส.ร.ยังไม่มีความคืบหน้า เห็นได้จากที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา ตลอด 2 วัน 13-14 ก.พ. 2568 ล่มติดต่อกัน จากการตีรวนงัดข้อกันในฝ่ายการเมือง “3 ก๊ก”
การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ ส่อเค้าว่าจะ “แท้ง” ก่อนเลือกตั้งใหญ่ เพราะต้องอาศัยเสียง สว.ในการลงมติเห็นชอบ ในวาระที่หนึ่ง ถึง 66-67 เสียง (จาก สว.ที่มีอยู่ 199 คน)
ก๊กแกนนำรัฐบาล“พรรคเพื่อไทย”เลือกเล่นบท“เดินอ้อม” วางเกมส่งญัตติ ทอดเวลายื้อไปให้ศาลรัฐธรรมนูญ พิจารณาตามมาตรา 210 ของรัฐธรรมนูญ
โดยล่าสุดให้ สส.ในพรรคเซ็นชื่อร่วมกันในญัตติใหม่ ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 210 วรรคหนึ่ง (2) ต่อประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 และเพิ่มเติมหมวด 15/1 การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะทำได้ก่อนการออกเสียงประชามติว่าประชาชนประสงค์จะให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้หรือไม่
ท่าทีของพรรคเพื่อไทย ยังไม่ชัดเจนว่า จะเห็นด้วยกับการทำประชามติ 2 หรือ 3 ครั้ง และกว่าจะโหวตได้ คงต้องรอสมัยประชุมหน้า
ขณะที่ก๊ก “ภูมิใจไทย” และ สว.ไม่ต่ำกว่า 130-170 คน เล่นบท ธงนำ“เดินขวาง” ไม่เข้าร่วมประชุม แสดงพลังคัดค้านญัตติที่ สว.เสนอเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย
ล่าสุด “อนุทิน ชาญวีรกูล” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เล่นบท รับลูกสนับสนุนญัตติของพรรคเพื่อไทย
ส่วนก๊ก“พรรคประชาชน” เล่นบทเดินตรงแตกหักเกมไว ต้องการเปิดอภิปรายญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระที่ 1 โดยเร็ว เพื่อเข้าสู่โหมดการลงมติในขั้นรับหลักการ โดยมีคำตอบคือ ประชามติเพียงแค่ 2 ครั้ง เพื่อสร้างแต้มนิยมจากกระแสนอกสภาฯ
นี่ไม่ใช่ความพยายามครั้งแรกของปีก “พรรคเพื่อไทย” ที่ต้องการความชัดเจนถึงแนวทางการออกเสียงประชามติเกี่ยวกับการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
ก่อนหน้านี้ 17 เม.ย. 2567 ศาลรัฐธรรมนูญ เคยตีตกคำร้องรัฐสภา ขอให้วินิจฉัยทำประชามติกี่ครั้ง เกี่ยวกับการทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่มาแล้ว
อย่างไรก็ตาม กระบวนการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมมนูญฉบับพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาชนในชั้นรัฐสภา ไม่มีทางจะไม่ทันกรอบเวลาที่ประชุมรัฐสภาสมัยนี้ เพราะจะปิดฉากลงในวันที่ 10 เม.ย. 2568 ซึ่งกว่าจะเปิดประชุมรัฐสภา สมัยถัดไป ก็ต้องรอวันที่ 3 ก.ค. 2568
เกมของ “พรรคประชาชน” ต้องการไทม์ไลน์ประชามติเพียง 2 ครั้งเท่านั้น เพียงแต่จำนวนมือในสภาสู้เสียงข้างมากปีกตรงข้ามไม่ได้
ในขณะที่พรรคเพื่อไทย เลือกวางหมาก พักเกมแก้ไขรัฐธรรมนูญไว้ก่อน หาทางออกด้วยการโยนเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาด
อีกทั้ง ยังเริ่มมีสัญญาณจากสส.เพื่อไทยบางรายว่า ประชามติ 3 ครั้งอาจจะปลอดภัยกว่า เพื่อความชัดเจน
มองข้ามช็อต ด่านต่อไปในการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จำเป็นต้องรอการยืนยันร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติหลังครบ 180 วัน ซึ่งสภาผู้แทนราษฎร จะยืนยันว่าต้องใช้หลักเกณฑ์เสียงข้างมากเพียงชั้นเดียว หลังจากสภาฯ มีมติเมื่อวันที่ 18 ธ.ค. 2567 โดย 326 เสียงไม่เห็นชอบกับมติของกรรมาธิการร่วมสองสภาฯ ต่อ 61 เสียง งดออกเสียง 1 เสียง ยับยั้งการแก้ไข พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติของวุฒิสภาที่ให้ใช้เสียงข้างมาก 2 ชั้น
รูปเกมชัดเจนว่า ทั้งพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาชนเห็นตรงกันในเสียงข้างมากชั้นเดียว แตกต่างจากพรรคภูมิใจไทยที่เดินเกมขวางผ่าน สว.สีน้ำเงิน
ตามกฎหมาย เมื่อทั้งวุฒิสภา และสภาผู้แทนราษฎรมีความเห็นต่างกัน ทำให้ พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ต้องถูกยับยั้งไว้ก่อน และจะต้องรอ 180 วันนับแต่วันที่สภาฯใดสภาฯหนึ่งไม่เห็นชอบ จึงจะสามารถให้สภาฯ นำร่างดังกล่าวที่ยับยั้ง ขึ้นมาพิจารณาใหม่ เมื่อสภาฯมีมติเสียงเกินกึ่งหนึ่งให้ถือว่าร่างกฎหมายดังกล่าว นำไปประกาศใช้ได้
โดยไทม์ไลน์ครบกำหนด 180 วันจะอยู่ในห้วงกลางเดือน มิ.ย.2568 หรือประมาณ 17 มิ.ย.2568 แต่กว่าจะพิจารณาได้ จะต้องรอเปิดประชุมรัฐสภา ปีที่ 3 ครั้งที่ 1 ในวันที่ 3 ก.ค. 2568 เว้นแต่มีการเปิดประชุมรัฐสภา สมัยวิสามัญ
เช่นเดียวกับกับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2 ฉบับ ที่ยังค้างอยู่ในรัฐสภา รวมทั้งการพิจารณาญัตติใหม่ของ “พรรคเพื่อไทย” ก็คงต้องเลื่อนเกมยาวไปในสมัยประชุมรัฐสภาถัดไป เดือน ก.ค.2568 เพราะห้วงเดือน มี.ค.2568 จะเข้าสู่โหมดอภิปรายไม่ไว้วางใจก่อนปิดสมัยประชุม
พักยกแก้ รธน.-ยืนยัน ก.ม.ประชามติ
ด่านต่อไปที่จะพิสูจน์ความชัดเจนและความจริงใจเพื่อผลักดันเรือธงนโยบายสำคัญของ “พรรคเพื่อไทย” ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ คือหลังครบ 180 วันของกฎหมายประชามติ อาจจะต้องพึ่งช่องทางดังนี้
1.ศาลรัฐธรรมนูญตีความก่อน 2.ใช้กลไกออกเสียงประชามติด้วยหลักเกณฑ์เสียงข้างมากชั้นเดียว เพื่อขอให้มีการการทำจัดทำประชามติครั้งแรก เพื่อเป็นกุญแจ ปลดล็อก นำไปสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ
สำหรับช่องทางการออกเสียงประชามติเกี่ยวกับการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ กำหนดไว้ว่า การออกเสียงเกี่ยวกับการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญตามที่บทบัญญัติกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ
แต่หากเป็นเรื่องนอกเหนือจากนี้ การออกเสียงประชามติต้องไม่กระทบต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งเริ่มต้นได้ 1.คณะรัฐมนตรีเห็นว่ามีเหตุอันสมควร 2.ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องมีการออกเสียง
3.รัฐสภาพิจารณาและมีมติเห็นว่าเป็นเรื่องที่มีเหตุสมควรจะให้มีการออกเสียงและได้แจ้งเรื่องให้ ครม.ดำเนินการ และ 4.ประชาชนเข้าชื่อเสนอต่อ ครม.เพื่อให้ความเห็นชอบออกเสียงประชามติ
ทั้งนี้ ครม.ต้องเห็นว่าเป็นกรณีตามมาตรา 166 ของรัฐธรรมนูญ การออกเสียงประชามติในเรื่องที่ไม่ขัดแย้งต่อรัฐธรรมนูญ และไม่ใช่เรื่องบุคคลหรือคณะบุคคล
กรอบเวลากำหนดวันออกเสียงประชามติเกี่ยวกับการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ หรือเรื่องอื่นๆ ที่ไม่ขัดแย้งรัฐธรรมนูญ มีระยะเวลาไม่เร็วกว่า 90 วันและไม่ช้ากว่า 120 วัน เท่ากับว่าการออกเสียงประชามติเพื่อสอบถามถึงการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ อาจจะต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 3 เดือน
กว่าจะพิจารณากฎหมายประชามติได้ กว่าจะเริ่มต้นแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระแรกได้ภายใต้เงื่อนไขต้องรอกุญแจ เปิดประตูแก้ไขรัฐธรรมนูญ จากกฎหมายประชามติรอบแรกก่อน ก็ยิ่งชัดเจนว่าภายในปี 2568 คงยังไปไม่ถึงไหนสำหรับการเปิดทางสู่ ส.ส.ร.
ยิ่งถ้าเดินเกมไปสู่การทำประชามติยกแรกก่อนแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ หากผลคำตอบที่ได้ออกมาเสียงประชาชนไม่ต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อตั้ง ส.ส.ร.ก็จะเป็นการปิดประตูเกมแก้ไขรัฐธรรมนูญของ พรรคเพื่อไทยและพรรคประชาชน
แต่ถ้าเสียงส่วนใหญ่เห็นชอบให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ ก็จะเปิดทางให้ 2 ก๊กเดินเกมต่อไปได้ เพียงแต่กลเกมในรัฐสภาคงไม่ง่ายนัก เพราะมี สว.ค่ายน้ำเงินตั้งป้อมชูมือรอคว่ำอยู่เกินกว่า 67 เสียง
ไม่ว่ารูปเกมหรือกลยุทธ์การวางหมากของ "เพื่อไทย" จะไปเดินอ้อมไปทางไหน ทั้งศาลรัฐธรรมนูญหรือนับหนึ่งประชามติ กระบวนท่าจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้สำเร็จ ช่างยากเหมือนเข็นครกขึ้นภูเขา ทำให้เสียงแนวร่วมปีกตรงข้ามจึงพูดทำนอง เล่นเกมซื้อเวลาเท่านั้น







