'ไบโอเมตริกซ์' หมดอายุ 3 ปี 'โรม' ซัดผิดไม่น่าอภัย ไร้คนรับผิดชอบ

'ไบโอเมตริกซ์' หมดอายุ 3 ปี 'โรม' ซัดผิดไม่น่าอภัย ไร้คนรับผิดชอบ

'โรม' เผยระบบ 'ไบโอเมตริกซ์' หมดอายุ 3 ปีแล้ว ซัดความผิดไม่น่าให้อภัย ไร้คนรับผิดชอบ ตอนนี้ใช้วิธีโบราณถ่ายภาพ - ปั๊มลายนิ้วมือ ตาม ผบ.ตร.รับผิดชอบอย่างไร 

เมื่อเวลา 13.30 น.วันที่ 20 ก.พ.2568 ที่รัฐสภา นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.) ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติ และการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร แถลงภายหลังการประชุม กมธ.ฯ ถึงแนวทางการจัดการแก๊งคอลเซนเตอร์ ซึ่งมีหลายส่วนเข้าไปพัวพันเกี่ยวข้องกับข้อมูลอัตลักษณ์ และเกี่ยวกับอาชญากรข้ามชาติและยาเสพติดว่า ประเทศไทยไม่มีการใช้ระบบไบโอเมตริกซ์อีกแล้ว แปลว่าเวลา 3 ปีเต็มนี้ ไม่มีเครื่องมือในการเก็บข้อมูลอัตลักษณ์นักท่องเที่ยว ทำให้มีโอกาสผิดพลาดจากการที่นักท่องเที่ยวใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่านในการก่ออาชญากรรม โดยที่ตัวเขาเองมีสัญชาติที่แตกต่างกัน

นายรังสิมันต์ กล่าวว่า แม้วันนี้สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) จะใช้วิธีการถ่ายรูป และพิมพ์ลายนิ้วมือ แต่ข้อมูลที่ได้นั้น ชัดเจนว่าไม่เพียงพอ และกลายเป็นช่องว่างสำคัญในการที่จะทำให้ประเทศไทยตกอยู่ในภายใต้ความอันตรายของปัญหาอาชญากรรมที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างแน่นอน ซึ่ง สตม.มีความรับผิดชอบที่จะป้องกันเรื่องนี้ไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ ทั้งที่ควรรับรู้รับทราบมาก่อนหน้านี้ว่าเหตุการณ์เหล่านี้จะเกิดขึ้น แต่กลับปล่อยให้ License หมด จนเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น กลายเป็นสุญญากาศ ใช้วิธีการโบราณ ไม่สามารถเก็บข้อมูลได้ โดยใช้วิธีขึ้นแบล็กลิสต์ ที่ไม่สามารถรู้ได้ว่า จะมีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใด

“ผมจะอยากตั้งคำถามไปถึง บิ๊กต่าย หรือผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ว่าปล่อยให้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างไร ภาพการก่ออาชญากรรมเกิดขึ้น โดยที่ระบบเราไม่สามารถป้องกันได้นั้น จะมีความรับผิดชอบอย่างไร และต้องถามผู้บังคับบัญชา ตม.ด้วยคำถามเดียวกันว่า ปล่อยให้คนไทยตกอยู่ในอันตราย เช่นนี้ได้อย่างไร” นายรังสิมันต์ กล่าว

นายรังสิมันต์ กล่าวถึงการขยายผล และการปราบปรามแก๊งคอลเซนเตอร์ และทุนเทา ว่า ได้พยายามรับรู้ รับทราบ และพยายามเข้าใจว่า เหตุใดการออกหมายจับ หม่อง ชิตตู่ จึงทำได้อย่างยากเย็น ซึ่งพบว่า ตัวการหลักของเรื่องนี้คือ อัยการ เนื่องจากเป็นคดีความผิดนอกราชอาณาจักร ทำให้อัยการสูงสุดจึงต้องเข้ามาดู แต่การออกหมายนั้น ขณะที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ก็พยายามดำเนินการอยู่ แต่การส่งมอบข้อมูลของสองหน่วยงานนั้น ยังไม่เกิดขึ้นจึงไม่รู้ว่าจะรอช้าอยู่ไปเพื่ออะไร เพราะจะส่งผลให้เรา ไม่สามารถแช่แข็งบัญชี และทรัพย์สินของอาชญากรได้ ทำให้คนจำนวนมาก ต้องรอคอยการชดเชยเยียวยา ยังไม่ได้รับเงินคืน 

“นอกจากนี้ยังไม่มีการขยายผลไปถึง เต่ง วิน ซึ่งเป็นคนสำคัญใน BGF และเกี่ยวข้องกับบริษัทซึ่งเป็นคู่สัญญากับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และยังมีตัวละครสำคัญใหม่ ซึ่งจะต้องขยายผลต่อไปว่าบุคคลที่อยู่ในกองกำลังดังกล่าว อาจเกี่ยวข้องกับยาเสพติดจำนวนมาก ทั้งการลักลอบขนย้ายสารตั้งต้น และการส่งออกยาเสพติดผ่านไทยไปยังประเทศอื่น ดังนั้นเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่า แหล่งผลิตยาเสพติดใหม่เกิดขึ้นแล้ว ที่รัฐกะเหรี่ยง เมียนมา ไม่ได้จำกัดแค่ทางฝั่งว้า” นายรังสิมันต์ กล่าว

 

 

สำหรับกรณีท่าข้าม นายรังสิมันต์ ยืนยันว่า มีท่าทีเกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซนเตอร์จริง และสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ก็จะเป็นผู้สรุปว่าใครบ้างที่มีอำนาจในการปิดท่าข้าม และภายในเดือนมีนาคม นี้ จะมีการสรุปว่าต้องมีท่าไหนบ้างที่จะถูกปิดไป

“แม้เราจะมีการช่วยเหลือเหยื่อ จับกุมแก๊งคอลเซนเตอร์จากฝั่งเมียวดี และส่งต่อไปยังประเทศอื่น แต่ต้องยืนยันว่าประเด็นเหล่านี้ เป็นประเด็นที่ค่อนข้างร้ายแรง และต้องติดตามต่อไป” นายรังสิมันต์ กล่าว

นายรังสิมันต์ กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ในที่ประชุมยังมีการสอบถามกรณีการส่งตัวคนต่างชาติด้วยว่า เหตุใดจีนถึงมีเพียงบันทึกภาพ และพิมพ์ลายนิ้วมือ ไม่ได้มีการคัดแยกเหยื่อ และอาชญากร ซึ่งทำให้เราไม่มีข้อมูลว่าใครคือ อาชญากรตัวใหญ่ หากจีนไม่ส่งให้เรา ยืนยันว่าการกระทำเช่นนี้ ไม่เป็นผลดีต่อประเทศ เพราะอาจจะมีการกลับมาก่ออาชญากรรมในประเทศไทยได้อีก ขณะที่ประเทศอื่น มีการแยก ซึ่งอาจทำให้ประเทศอื่นมองว่า เราปฏิบัติอย่างไม่เท่าเทียมกัน และจะถูกมองว่า ไทยอยู่ภายใต้อิทธิพลของชาติใดชาติหนึ่ง ซึ่งไม่ควรที่จะทำให้ใครมองเราเช่นนี้ ดังนั้นรัฐบาลต้องทบทวน หากต่อไปเกิดกรณีเช่นนี้อีก ตนขอเรียกร้องไปยัง นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม และนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี

เมื่อถามว่ามีการขึ้นแบล็กลิสต์จริงหรือไม่ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า น่าจะ เนื่องจากผู้เข้าชี้แจงไม่ได้มีอำนาจหน้าที่ตรงนี้โดยตรง หากผู้ที่เขาชี้แจงไม่สามารถให้ข้อมูลได้ ตนก็คิดว่าเราไม่ควรมี ผบ.ตร. หรือรองผบ.ตร. มากขนาดนี้ นี่เป็นความผิดพลาดที่ไม่น่าให้อภัย และไม่รู้ว่าใครจะเป็นคนรับผิดชอบ

 

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์