รื้อรธน. พท.วัดพลัง‘ล้มมรดกคสช.’ ภท.โชว์พาว‘น้ำเงิน’เข้มข้น

“ดุลการเมือง” ไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถืออำนาจแบบเด็ดขาด ย่อมกลายเป็นที่ถกเถียงว่า ถึงที่สุด เส้นทางแก้รัฐธรรมนูญที่กำลังดำเนินอยู่ในเวลานี้ จะดำเนินไปได้ไกลแค่ไหน
KEY
POINTS
- “ดุลการเมือง” ไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถืออำนาจแบบเด็ดขาด ย่อมกลายเป็นที่ถกเถียงว่า ถึงที่สุด เส้นทางแก้รัฐธรรมนูญที่กำลังดำเนินอยู่ในเวลานี้ จะดำเนินไปได้ไกลแค่ไหน
-
ศึก “ชิงธงนำ” ระหว่างดุลอำนาจ “เพื่อไทย” พยายามบอกว่า ตนเองไม่ใช่พรรค “อนุรักษนิยมใหม่” จับตาเกมรื้อรธน.จัดการมรดกคสช.
-
“สีน้ำเงิน” ที่ผ่านมาก็พยายามโชว์บทบาทของการเป็นพรรค “เลือดสีน้ำเงินเข้มข้น”แม้จะบอกว่ารัฐธรรมนูญแก้ได้ แต่ลึกๆก็ยังสะท้อนบทบาทองครักษ์พิทักษ์รัฐธรรมนูญฉบับคสช. ออกมาเป็นระยะ
สมการการเมืองยุค “3 ก๊ก” แดง น้ำเงิน ส้ม ซึ่ง “ดุลการเมือง” ไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถืออำนาจแบบเด็ดขาด ย่อมกลายเป็นที่ถกเถียงว่า ถึงที่สุด เส้นทางแก้รัฐธรรมนูญที่กำลังดำเนินอยู่ในเวลานี้ จะดำเนินไปได้ไกลแค่ไหน
ไม่ว่าจะเป็นเกมขบเหลี่ยมเฉือนคมที่คอยเตะตัดขาสกัดตลอดทาง ส่งผลให้เรือธงแก้รัฐธรรมนูญ มาตรา 256 ของพรรคเพื่อไทยซึ่งถูกบรรจุเป็นนโยบายรัฐบาล ยืดเยื้อออกไปครั้งแล้วครั้งเล่า ไล่ตั้งแต่กฎหมายประชามติ ที่เปิดฉากหักดิบกันระหว่าง 2 สภาฯ
ฝั่งคือพรรคเพื่อไทย พรรคร่วมรัฐบาล และพรรคฝ่านค้าน หนุนเกณฑ์ “ประชามติชั้นเดียว” ขณะที่ฝั่งภูมิใจไทย และสว.เสียงส่วนใหญ่หนุนเกณฑ์ “ประชามติ 2 ชั้น” จนกระทั่งเวลานี้ กฎหมายยังคงค้างเติ่งในสภาเป็นเวลา 180 วัน ก่อนบังคับใช้
ต่อเนื่องมาถึง "แมตช์สอง" นั่นคือเกมองค์ประชุม“ล้มโหวต” ร่างรัฐธรรมนูญวาระแรก ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่13-14ก.พ.ที่ผ่านมา สะท้อนฉากการเมืองที่ไม่ได้มีแค่ฝ่ายค้านและรัฐบาล แต่ยังหมายรวมไปถึงสัญญาณร้าวภายในพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกัน
เบื้องลึกเบื้องหลังของเกมล้มประชุม“สุทิน คลังแสง”สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ยอมรับว่า เห็นสัญญาณชัดมาตั้งแต่ช่วงเย็นวันที่12 ก.พ. ซึ่ง “คีย์แมนเพื่อไทย” เรียกเช็กชื่อจำนวนเสียงแต่ละพรรคร่วมรัฐบาล พบว่าโอกาสถูกตีตก ตั้งแต่วาระแรกมีสูง หากปล่อยให้โหวต
จึงเป็นที่มาของการยืมมือ สว.สีขาว ซึ่งมี “หมอเปรมศักดิ์ เพียรยุระ” เป็นคีย์แมน ในการเสนอญัตติส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความ
ทว่า หลังเดินเกมพลาด คิดว่าลำพังเสียงพรรคเพื่อไทย และพรรคร่วมรัฐบาลบางพรรค หากมีพรรคประชาชนข้ามขั้วเข้ามาเติม ก็จะเพียงพอในการสนับสนุนญัตติของ“หมอเปรม” ทั้ง 2 ขยัก ทั้งมติเลื่อนวาระ รวมถึงมติส่งศาลรัฐธรรมนูญ
ทว่า เมื่อ “พรรคส้ม” ไม่เอาด้วย ไม่ต่างจากพรรคภูมิใจไทยที่ประกาศวอล์กเอาต์ ไม่ร่วมสังฆกรรม กลับกลายเป็นฝั่งเพื่อไทยที่ “แพ้โหวต” เมื่อรู้ดีถึงสัญญาณ “โหวตคว่ำ” ตั้งแต่วาระแรก จึงเป็นที่มาของการตัดสินใจเฉพาะหน้า ในการเดินเกมล้มโหวตในท้ายที่สุด
แม้ล่าสุดจะมีคำยืนยันมาจาก “อนุทิน ชาญวีรกูล” รองนายกฯและรมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย บอกว่า มีการคุยกันภายในพรรคร่วมรัฐบาล ภูมิใจไทยพร้อมหนุนญัตติส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความ
จากปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้น ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา ย่อมเป็นการสะท้อนให้เห็นว่า การเมืองยังมีอีกหลายฉากหลายตอนให้ต้องจับตา โดยเฉพาะฉากในการ “ชิงธงนำ” ระหว่างดุลอำนาจ “สีแดง” และ “สีน้ำเงิน”
ฝั่ง “เพื่อไทย” พยายามบอกว่า ตนเองไม่ใช่พรรค “อนุรักษนิยมใหม่” ทั้ง“ทักษิณ ชินวัตร” ผู้นำจิตวิญญาณเพื่อไทย ที่พูดไว้เมื่อครั้งประชุมใหญ่สามัญพรรคเพื่อไทย เมื่อวันที่ 5 เม.ย.2567 เวลานั้นยังมี “เศรษฐา ทวีสิน” เป็นนายกรัฐมนตรี ย้ำชัดว่า
“พรรคเพื่อไทยถูกกล่าวหาว่า เป็นพรรคอนุรักษนิยมใหม่ บอกได้เลยว่า อันนี้ไม่ได้อยู่ใน DNA ของพรรคเพื่อไทย หรือพรรคไทยรักไทย แต่พรรคเพื่อไทยจริงๆ ที่เกิดจากพรรคไทยรักไทย คือ พรรคที่รีฟอร์มเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลง”
หรือแม้แต่ “นายกฯอิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร เมื่อครั้งสวมหมวกหัวหน้าพรรคเพื่อไทยใบเดียว ย้ำหนักแน่นว่า เพื่อไทยไม่ใช่อนุรักษนิยมใหม่ เป็นพรรคที่กล้าปฏิรูป
จึงไม่แปลกหากเพื่อไทยจะโชว์บทบาทในการ “ถือธงนำ” แก้รัฐธรรมนูญ จัดการมรดกที่ตกทอดมาจากคสช.เพื่อชิงกระแสปฏิรูปในการเรียกเรตติ้งกลับคืนมา ภายใต้เดิมพัน แล้วเสร็จภายในอายุรัฐบาลซึ่งจะครบวาระปี 2570
ทว่า สิ่งที่จะต้องจับตาต่อคือ เส้นทางหลังจากนี้ซึ่งพรรคเพื่อไทยยอมรับลึกๆ ว่าไม่ง่าย อย่างที่รู้กัน “รัฐธรรมนูญฉบับคสช.” ถูกออกแบบมาให้แก้ยาก จาก “ซูเปอร์ล็อก” ที่ล็อกไว้หลายชั้น
นอกเหนือจากจะต้องมีเสียงเกินกึ่งหนึ่ง และเสียงฝ่ายค้าน 20% ในวาระ 1 และ 3 แล้ว ยังมีด่าน สว.ที่เวลานี้ถูกกุมอำนาจโดย “สีน้ำเงิน” ที่จะต้องเห็นชอบ 1 ใน 3 หรือ 67เสียง เป็นอุปสรรคขวากหนามสำคัญ
อย่าลืมว่าฝั่ง “สีน้ำเงิน” ที่ผ่านมาก็พยายามโชว์บทบาทของการเป็นพรรค “เลือดสีน้ำเงินเข้มข้น” โดยเฉพาะในยามที่มวลชนกำลังสับสนว่า หลังการหลบฉากของ “เบอร์หนึ่ง” อนุรักษนิยมใครกันแน่ ที่จะเป็นผู้ถือธงนำแทน
เช่นนี้ย่อมเป็นโอกาสให้ “พรรคสีน้ำเงิน” ชิงจังหวะในการปูทาง ไปถึงฉากการเมืองในอนาคต จึงไม่แปลกหากจะเห็นฝั่งสีน้ำเงิน ที่แม้จะบอกว่ารัฐธรรมนูญแก้ได้ แต่อีกด้านก็ยังพยายามโชว์บทบาทเป็นองครักษ์พิทักษ์รัฐธรรมนูญฉบับ คสช.ไปในคราวเดียวกัน
ฉะนั้น แม้“มท.หนู” จะบอกว่า มีการเคลียร์กันในพรรคร่วมรัฐบาลแล้ว แต่นั่นเป็นเพียงแค่การสนับสนุนญัตติยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความ รอบสองที่พรรคเพื่อไทยจะเสนอวันที่ 19ก.พ.เท่านั้น ไม่ได้หมายรวมไปถึงการการันตี “เสียงโหวต”ทั้ง 69 เสียงภูมิใจไทย รวมไปถึงกว่า 130 เสียงในสภาสูง ที่จะมีการโหวตทั้ง 3 วาระในอนาคต







