ส่องเกม ‘ล่มรัฐสภา’ ‘พท.’ ถูกผลักเข้า ‘เรดโซน'

2วันติดที่ "รัฐสภา" ล่มซ้ำซาก จากเกม "ล้มประชุม" ที่ "เพื่อไทย" ไม่อยากให้เดินหน้าแก้รัฐธรรมนูญ ทว่าเสียงของมติที่ปรากฎ สะท้อนให้เห็นสัญญาณอันตรายที่ "พรรคแกนนำรัฐบาล" ถูกผลักเข้าสู่ "เรดโซน" ทางการเมือง
KEY
POINTS
Key Pont :
- เกมล้มกระบวนการแก้รัฐธรรมนูญ มาตรา256 ผ่านการ "ล่มประชุมรัฐสภา"
- ทำให้ "พรรคเพื่อไทย" ถูกตั้งคำถามต่อการเล่นบท2หน้า ทั้ง "บทชง" และ "บทเบรก" แก้รัฐธรรมนูญ
- ทว่าแกนนำพรรคเพื่อไทย ได้เฉลยความว่า ไม่อยากให้แกัฐธรรมนูญเสียของ จากฝ่ายที่จ้อง "โหวตคว่ำ"
- ทว่าในเกมซ้อนเกมที่เกิดขึ้น ในช่วง 13-14 ก.พ. ทำให้เห็นว่า "พรรคเพื่อไทย" เป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำให้กับ "ภูมิใจไทย-สว.สีน้ำเงิน"
- และกรณีที่ แพ้ในเกมซึ่ง "พรรคเพื่อไทย" ถือไพ่นำนั้น คือ รหัสที่ส่งสัญญาณได้ว่า ถูกผลักให้เข้าสู่ "เรดโซน" ไปแล้วครึ่งตัว
เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 และเพิ่มหมวด15/1 ว่าด้วยการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่ “พรรคประชาชน” พยายามผลักดัน ไม่อาจฝ่าด่านเกม “ล่มประชุม” ของ “พรรคเพื่อไทย” ไปได้
ทำให้ถูกตั้งคำถาม ถึง การเล่นบท2หน้าของ “พรรคเพื่อไทย” ทั้ง “บทชงแก้รัฐธรรมนูญ มาตรา 256” และ “บทล้มการประชุม” นั้น มีอะไรที่ซ่อนอยู่กันแน่
หากย้อนความไปก่อนหน้านี้ เมื่อ 10 ก.พ. มีสัญญาณออกมาจาก แกนนำพรรคเพื่อไทย “ชูศักดิ์ ศิรินิล” รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ฐานะมือกฎหมายของพรรคเพื่อไทย ตอบคำถามของผู้สื่อข่าว ถึงทิศทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 เพื่อรื้อ “รัฐธรรมมนูญ ฉบับ คสช.” ซึ่งระบุความว่า
“หลังการพิจารณาไประยะหนึ่ง จะมีผู้เสนอญัตติเพื่อขอส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญให้ตีความการแก้ไขรัฐธรรมนูญ”
ซึ่งในวันดังกล่าวนั้น “วง สว.” มีการจัดเวทีวิชาการ เพื่อพูดคุยระหว่าง สว. เรื่อง “มุมมอง สว.ต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญ” ซึ่งมี “สว.” แทบทุกกลุ่มในวุฒิสภา เข้าร่วม ซึ่งในเวทีนั้นไม่ได้เจาะจงในประเด็นใดประเด็นหนึ่งเป็นสำคัญ
คล้อยหลังไป 1 วัน เริ่มมีความชัดเจนจาก “สว.กลุ่มสีขาว” นำโดย “นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ” ที่ประสงค์จะยื่นญัตติเพื่อขอให้รัฐสภามีมติส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยในปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของรัฐสภา ในประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 และเพิ่มหมวดการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ได้หรือไม่ก่อนที่จะมีการทำประชามติถามความประสงค์ของประชาชน ตามที่คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ที่ 4/2564
และเตรียมยื่นญัตติต่อ “ประธานรัฐสภา-วันมูหะมัดนอร์ มะทา” ในช่วงเย็นวันที่ 11 ก.พ. ก่อนจะถูกกล่อม เพื่อให้เบรกเกมเอาไว้ก่อน จนมาถึงวันที่ 12 ก.พ. ที่สัญญาณจาก “ฝ่ายพรรคภูมิใจไทย” และ “สว.ขั้วน้ำเงิน” เริ่มชัดเจน สำทับกับ พรรคการเมืองฟากอนุรักษ์นิยม อย่าง “รวมไทยสร้างชาติ-ชาติไทยพัฒนา-พลังประชารัฐ” ที่ส่งสัญญาณ “ไม่เอา”
ทำให้การเดินเกมเสนอ “ญัตติส่งศาลรัฐธรรมนูญ” ได้รับไฟเขียวทันทีจาก “พรรคเพื่อไทย”
เห็นได้จากการบอกให้ สส. พรรคเพื่อไทย และ พรรคกล้าธรรม รวม 21 คน ร่วมลงชื่อสนับสนุนญัตติของ “นพ.เปรมศักดิ์” ที่ก่อนหน้านี้มีสว.ประมาณ 23 คนร่วมลงชื่อนำร่อง
ในเป้าหมายของ “พรรคเพื่อไทย” ที่เลือกเดินทางนี้ ทั้งที่ก่อนหน้านั้น ส่งตัวแทนพรรคไปหารือกับ “สว.บางกลุ่ม” เพื่อขอเสียงสนับสนุนให้ร่วมรับหลักการ ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ 256 ฉบับพรรคเพื่อไทย
เหตุผลสำคัญที่ “แกนนำพรรคเพื่อไทย” ทั้ง “ชูศักดิ์-สุทิน คลังแสง-วิสุทธิ์ ไชยณรุณ” พยายามอธิบายว่า
"เพื่อไม่ให้เสียของ เพราะหากเดินตามเส้นทาง ลงมติว่าจะรับหลักการหรือไม่ หนทางข้างหน้าคือ นำการแก้ไขรัฐธรรมนูญลงเหว เพราะจะถูกตีตก เนื่องด้วย สว. ลงมติรับหลักการไม่ถึง 1 ใน 3 และจะเท่ากับปิดประตูการแก้รัฐธรรมนูญในสมัยประชุมนี้ และหากจะเสนอใหม่ในสมัยประชุมหน้าอาจลงเอยอีหรอบเดิม”
ความพยายามของ “พรรคเพื่อไทย” ที่จะแก้เกม “ตีตกร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ” จึงคิดออกอยู่ทางเดียว คือ ต้องเพื่อส่งเรื่องไปศาลรัฐธรรมนูญให้ได้ เพื่อคงญัตติขอแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่บรรจุวาระไปแล้ว “ค้างในสารบบ” จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย ในอีก 1 เดือนข้างหน้า
พรรคเพื่อไทยเอง อ่านเกมเอาไว้ว่า “จะชนะ" เพราะใช้แค่มติเสียงข้างมากของที่ประชุมเท่านั้น เมื่อรวมเสียงของ “พรรคเพื่อไทย-พรรคกล้าธรรม-พรรคเล็ก 1 เสียง -สว.บางส่วน” เชื่อว่า ชนะ “พรรคประชาชน และ สว.พันธุ์ใหม่” ได้ในเกมนี้ ขณะที่ “พรรคภูมิใจไทย” แสดงเจตนาตั้งแต่ต้นแล้วว่า “ไม่ร่วมสังฆกรรม”
แต่การคิดว่าจะ “การมีเสียงข้างมาก” จะเอาชนะ “ฝ่ายแก้รัฐธรรมนูญ” โดยลืมคิดถึงตัวแปร อย่าง “สว.ขั้วสีน้ำเงิน”
ทำให้ผลโหวตในชั้นแรก ว่าด้วยการเลื่อนญัตติ “ส่งศาลรัฐธรรมนูญ” ขึ้นมาพิจารณาก่อน “ญัตติแก้รัฐธรรมนูญ” ถูกตลบหลัง และ “เพื่อไทย” เป็นฝ่ายแพ้ ด้วยเสียง 247 ต่อ 275 เสียง
เมื่อตรวจสอบการลงมติที่ “เพื่อไทย” แพ้ในเกมที่ตนเองถือไพ่เหนือกว่า จะเห็นชัดว่า ไม่ใช่เพราะฝีมือ “ก๊วนสีส้ม” แต่เป็นการแพ้เพราะ “สว.ก๊วนน้ำเงิน”
โดย 275 เสียง ที่เอาชนะ “ฝ่ายเพื่อไทย” ประกอบด้วย สส. รวม 139 เสียง ได้แก่ พรรคประชาชน 137 เสียง พรรคไทยสร้างไทย 1 เสียง พรรคเป็นธรรม 1 เสียง ขณะที่ สว. ร่วมหนุน 136 เสียง
เป็นที่น่าสังเกตว่า สว. 136 เสียงนั้น รวมถึง “พล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์ รองประธานวุฒิสภาคนที่หนึ่ง” นายบุญส่ง น้อยโสภณ รองประธานวุฒิสภา คนที่สอง และสว.ที่มีความใกล้ชิดกับ “ครูใหญ่บุรีรัมย์” อาทิ พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ แสงเพชร นายเพิ่มพร ทองศรี และ สว.ในก๊วนสีน้ำเงิน น.ส.มาเรีย เผ่าประทาน พล.ต.ท.ยุทธนา ไทยภักดี นายวุฒิชาติ กัลยาณมิตร นายสมทบ ถีระพันธ์ นายอภิชาติ งามกมล นายปราณีต เกรัมย์ รวมถึงนายพิสิษฐ์ อภิวัฒนาพงศ์ โฆษกวิปวุฒิสภา
ขณะที่ฝั่ง 247 เสียงที่สนับสนุน “ฝ่ายเพื่อไทย” นั้น พบว่า เป็นสส. เพื่อไทย 130 คน พรรคภูมิใจไทย 1 คน คื เอกราช ช่างเหลา พรรครวมไทยสร้างชาติ 20 คน พรรคประชาธิปัตย์ 16 คน พรรคกล้าธรรม 24 คน พรรคพลังประชารัฐ 1 คน คือ น.ส.กาญจนา จังหวะ พรรคชาติไทยพัฒนา 5 คน พรรคประชาชาติ 7 คน พรรคไทยสร้างไทย 2 คน พรรคชาติพัฒนา 3 คน พรรคไทรวมพลัง 1 คน พรรคประชาธิไตยใหม่ 1 คน และ สว. 35 คน
พลันที่ “พรรคเพื่อไทย” เสียท่า “เกมครูใหญ่” ทำให้ต้องเปลี่ยนแผนการเล่น คือ ทำอย่างไรก็ได้เพื่อไม่ให้รัฐสภา ได้พิจารณา ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่รอในระเบียบวาระ คือ การเล่นเกมล่มประชุม ผ่านกระบวนการทำให้องค์ประชุมไม่ถึงกึ่งหนึ่ง
ปัจจุบัน สมาชิกรัฐสภามีทั้งสิ้น 692 คน แบ่งเป็น สว. 199 คน สส.493 คน องค์ประชุมต้องเกินกึ่งหนึ่ง คือ 346 คน
โดยในการประชุมวันแรก เมื่อ 13 ก.พ. เกมล่มประชุมทำได้สำเร็จ โดย “พรรคเพื่อไทย” ที่นั่งในห้องประชุม ไม่ร่วมแสดงตน ทำให้มีผู้มาแสดงตนเพียง 204 คน ขณะที่การประชุมวันที่สอง เกมล่มประชุม เพื่อล้มกระบวนการพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญ ได้ถูกดำเนินขั้นอีกครั้งและมีผู้แสดงตน 175 คน
จากผลการนับองค์ประชุมนั้น หากจับทางในฝั่งของ “วุฒิสภา” พบว่า สว.ก๊วนน้ำเงิน ร่วมเล่นเกม “ล่มประชุม” ในรอบนี้ด้วยเช่นกัน
ดังนั้นหากถอดรหัสเกมล้มกระบวนการแก้รัฐธรรมนูญในรัฐสภารอบนี้ จะทำให้เห็น 2 ภาพใหญ่ คือ
1.เจตนาที่ชัดเจนของ นักการเมือง ที่ไม่ต้องการให้กระบวนการแก้รัฐธรรมนูญไปต่อได้ในขณะนี้ เริ่มจาก “พรรคภูมิใจไทย” ที่ประกาศไม่ร่วมสังฆกรรม รวม 68 คน ต่อด้วย “พรรคพลังประชารัฐ” 19 คน พรรคประชาธิปัตย์ ในปีกของ “ชวน หลีกภัย-บัญญัติ บรรทัดฐาน” 9 คนพรรครวมไทยสร้างชาติ ในสายของ “ลุงตู่” 16 คน รวมทั้งสิ้น 112 คน
2.การถือไพ่นำที่เหนือกว่า "เสียงข้างมาก" ที่ “ภูมิใจไทย” มีตัวแปรสำคัญคือ “สว.สีน้ำเงิน” ซึ่งมีเสียงกว่า 136 เสียง โดยยามนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่า “พรรคภูมิใจไทย” มีเสียงหนุนทั้ง “สภาล่าง” และ กุมอำนาจได้เบ็ดเสร็จ ใน “สภาบน”
ดังนั้น เกมในสภาฯ “พรรคเพื่อไทย” อาจถูกทิ้งให้โดดเดี่ยว และเพลี่ยงพล้ำต่อเกมนิติบัญญัติได้ หากไม่มี “พรรคภูมิใจไทย” ร่วมหอลงโลง
และจากการเล่นเกมเหนือเกม "ล่มแก้รัฐธรรมนูญ" สะท้อนให้เห็นชะตาของ “เพื่อไทย” ในสมรภูมิสภา ที่ถูกบีบให้เข้าสู่ “โซนอันตราย” ไปแล้วครึ่งตัว.







