บทพิสูจน์สภาฯไทย คุ้มครอง สส. หรือประเทศ?

บทพิสูจน์สภาฯไทย คุ้มครอง สส. หรือประเทศ?

ใครจะคิดว่า นายไชยามพวาน มั่นเพียรจิตต์ ส.ส.กทม. พรรคไทยก้าวหน้า หรือ “ส.ส.ปูอัด” อดีตส.ส.พรรคก้าวไกล มีคดีข่มขืน หญิงสาวชาวไต้หวัน

ซ้ำรอยเมื่อครั้งอยู่ พรรคก้าวไกล มี คดีล่วงละเมิดทางเพศมาก่อน จนพรรคก้าวไกล มีมติขับออกจากพรรค

เพราะถ้า “ผิดจริง” มันคือเรื่องใหญ่ในชีวิตของ “ส.ส.ปูอัด” 

เรื่องนี้ ต้องให้กระบวนการยุติธรรมทำงานถึงที่สุด ก่อนตัดสิน “ผิด” หรือ “ไม่ผิด” 

แต่สิ่งที่หลายคนสนใจอยู่ในเวลานี้ คือ สภาผู้แทนราษฎร ของไทย จะเอาอย่างไรกับเรื่องนี้ เมื่อคดีที่เกิดขึ้นกับส.ส.มีเอกสิทธิ์คุ้มครอง ขณะเดียวกัน ถือว่าเป็นคดีร้ายแรงต่อ “จริยธรรม ส.ส.” และเกี่ยวพันกับต่างประเทศ ซึ่งส่งผลกระทบสูงต่อภาพลักษณ์ของประเทศ แม้ ยังไม่รู้ว่า “ผิดจริง” หรือไม่ 

ทั้งนี้ จากกรณี ศาลจังหวัดเชียงใหม่ ได้ออกหมายจับที่ จ.262/2568 ลงวันที่ 4 ก.พ.2568 ตามที่พนักงานสอบสวนได้รับคำร้องทุกข์คดีอาญาที่ 95/2568 จากการสอบสวนทราบว่า นายไชยามพวาน มั่นเพียรจิตต์ สส.กทม. พรรคไทยก้าวหน้า ผู้ต้องหา ซึ่งเป็น ส.ส. ถูกกล่าวหาว่า ข่มขืนกระทำชำเรานักท่องเที่ยวไต้หวัน เหตุเกิดที่โรงแรมแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 9 มกราคม ที่ผ่านมา ซึ่งพนักงานสอบสวนสอบสวนคดีดังกล่าวแล้ว รวมถึงรวบรวมพยานหลักฐาน จนน่าเชื่อว่าผู้ต้องหาทำความผิดตามที่ถูกกล่าวหา ประกอบกับผู้ต้องหามีตำแหน่ง ส.ส. จึงจะทำหนังสือถึงสภาผู้แทนราษฎร เพื่อขอตัวไปดำเนินคดี

ต่อมา สภ.เชียงใหม่ ทำหนังสือถึงสภาผู้แทนราษฎร เพื่อขออนุญาตจับตัว “ส.ส.ปูอัด” ต่อประธานสภาผู้แทนฯในสมัยประชุมแล้ว

ด้าน “ส.ส.ปูอัด” ยังปฏิเสธข้อกล่าวหา พร้อมตั้งข้อสังเกตกับตำรวจ สภ.เชียงใหม่ ที่ออกหมายจับข้ามขั้นตอนด้วย

“ผมปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาว่าไม่ได้ทำตามความผิดที่ถูกกล่าวหาแน่นอน ในส่วนที่ถูกกล่าวหาอย่างไรขอผมดูก่อน เพราะผมยังไม่รู้เลยว่าถูกกล่าวหาเรื่องอะไร ? ในประเด็นไหนบ้าง? เพราะผมยังไม่ได้รับทราบข้อกล่าวหาหรือมีโอกาสชี้แจงเลยต่อพนักงานสอบสวน”

นอกจากนี้ “ส.ส.ปูอัด” ตั้งคำถามกับกระบวนการยุติธรรม ทำไม ข้ามไปออกหมายจับ แทนที่จะเป็นหมายเรียกไปรับทราบข้อกล่าวหาให้ผมได้ชี้แจงกับทางเจ้าหน้าที่ก่อน

“*เป็นการดำเนินการของตำรวจและผู้กล่าวหาฝั่งเดียว*”

เพราะฉะนั้นนี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น ยืนยันผมไปรับทราบข้อกล่าวหาแน่นอน ว่ามีประเด็นไหนบ้างและรอบนี้ผมสู้แน่นอน ผมมั่นใจว่า ไม่ได้กระทำอย่างที่ถูกกล่าวหา

ส่วนที่ตั้งคำถามกับตำรวจสภ.เมือง เชียงใหม่

1. จากที่ผมได้กล่าวข้างต้น ผมถามว่าผมอยู่ตรงไหนของสมการในกระบวนการยุติธรรมนี้หรือไม่อย่างไร?

2.ทำไมถึงไม่ออกหมายเรียก คิดว่าผมจะหนีหรือไม่อย่างไร ? และผมจะหนีทำไม ?

“รอบนี้ผมไม่ยอม ผมสู้แน่นอน ในกระบวนการยุติธรรม” ส.ส.ปูอัด ฝากผู้ช่วยส.ส.มาชี้แจงกับผู้สื่อข่าว 

ขณะที่ พ.ต.อ.ดำเนิน กันอ่อง รอง ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่ เผยว่า คดีนี้ทางสถานทูตไต้หวันได้ให้ความสนใจและตามเรื่องตลอด ทางตำรวจมีการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ โดยรวบรวมพยานหลักฐานทุกอย่างไว้หมดแล้ว แต่ผู้ต้องหาเป็น ส.ส. เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ต้องดำเนินการไปตามกฎหมายระบุไว้ ห้ามจับ ห้ามดำเนินการตามเอกสิทธิ์ ส.ส. ต้องทำตามระเบียบ ซึ่งทางภูธรจังหวัดทำหนังสือถึงภาค แล้วเสนอต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติตามขั้นตอนปฏิบัติ จนมีการประสานถึงสภาผู้แทนราษฎรในที่สุด

ด้านสภาผู้แทนฯ ว่าที่ ร.ต.ต.อาพัทธ์ สุขะนันท์ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ว่า ทราบเรื่องแล้ว แต่ทางฝ่ายงานสารบัญแจ้งว่ายังไม่มีหนังสือเข้ามาในระบบ ซึ่งตนไม่แน่ใจว่าศาลส่งมาเป็นอีเอ็มเอสหรือไปรษณีย์ แต่เมื่อได้รับหนังสือแล้วจะขออนุญาตประธานสภาฯ บรรจุในวาระ เพื่อนำเข้าที่ประชุมสภาฯ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 125 วรรคหนึ่ง ห้ามจับ คุมขัง หรือหมายเรียกตัวสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือสมาชิกวุฒิสภา ไปทำการสอบสวนในฐานะเป็นผู้ต้องหาในคดีอาญา ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างสมัยประชุม คาด เมื่อบรรจุวาระแล้วจะนำเข้าที่ประชุมสภาผู้แทนฯได้วันที่ 20 กุมภาพันธ์ เป็นวาระเรื่องด่วน เนื่องจากสัปดาห์หน้า วันที่ 13 กุมภาพันธ์ เป็นการประชุมร่วมรัฐสภา แต่เรื่องของนายไชยามพวาน ต้องเข้าที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร

ที่น่าสนใจไปกว่านั้น นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานวิปรัฐบาล กล่าวว่า ในฐานะสมาชิกรัฐสภา มันรู้สึกอายเขานะ ถ้าเป็นคนธรรมดาก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่นี่เป็นเรื่องระหว่างประเทศยังไม่พอ ตัวเองเป็นผู้ทรงเกียรติไม่ควรทำอย่างนี้ ตนคิดว่าสภาก็น่าจะให้ตัวไปครับ หลังจากนั้นคณะกรรมการจริยธรรมอย่างพวกตนก็ต้องทำหน้าที่ต่อเลย

“ผมคิดว่า เป็นดุลยพินิจของ ส.ส.แต่ละพรรค แต่ผมมองว่าไม่ใช่เรื่องในประเทศ แค่คนไทยทำกับเขาก็เสียหายแล้ว แต่นี่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ไม่ควรทำ ด้วยจิตสำนึก ใครจะปกป้องก็แล้วแต่ ผมคนหนึ่งจะโหวตให้ส่งตัว” นายวิสุทธิ์ กล่าว

เช่นเดียวกับ น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองโฆษกพรรคเพื่อไทย โพสต์ผ่าน x (ทวิตเตอร์) Khattiya Sawatdiphol ว่า 

“เดียร์ขอเรียกร้องให้ส.ส.คนดังกล่าวลาออกจากตำแหน่งโดยทันที เพื่อออกไปใช้สิทธิต่อสู้ตามกระบวนการทางกฎหมายให้เสร็จสิ้น จนกว่าจะมีคำพิพากษาถึงที่สุดอย่างเป็นทางการ เพื่อไม่ให้สถาบันของผู้แทนราษฎรต้องมีรอยด่างพร้อยจากข้อกล่าวหาที่ร้ายแรงเช่นนี้ค่ะ”

รวมถึง คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย ให้สัมภาษณ์ว่า เมื่อเกิดเหตุการณ์ซ้ำ และครั้งนี้ก็ถือว่าร้ายแรง จึงอยากให้ลาออก รวมถึงไม่ต้องมีเอกสิทธิ์ใดๆ คุ้มครอง หากมั่นใจในความบริสุทธิ์ของตัวเอง ก็ลาออกแล้วสู้คดีในฐานะประชาชน เนื่องจากไม่ใช่กรณีแรก แต่มีคดีคล้ายคลึงกันในลักษณะเดียวกันนี้มาก่อนแล้ว

ที่ไม่อาจมองข้ามเช่นเดียวกัน คือ มุมมองด้านกฎหมาย นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า อดีตเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า

 “ไชยามพวาน มั่นเพียรจิตต์ ควรแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกจากส.ส. หากยังไม่ยอมลาออก ในสัปดาห์ต่อไปที่จะมีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ต้องเรียกร้องกดดันให้สภาผู้แทนราษฎรต้องมีมติอนุญาตให้ส่งตัวไชยามพวาน ไปทำการสอบสวนในฐานะเป็นผู้ต้องหาในคดีอาญา

เจตนารมณ์ของความคุ้มกันของ ส.ส.ตามมาตรา 125 วรรคแรก มีไว้เพื่อป้องกันมิให้อำนาจฝ่ายบริหาร (ในกรณีนี้ คือ อำนาจในการตั้งข้อหา สอบสวน จับ ของพนักงานตำรวจ) กลั่นแกล้งฝ่ายนิติบัญญัติ ในสมัยประชุม

ถ้าเป็นการกลั่นแกล้ง ถ้าเป็นคดีการเมือง ถ้าเป็นคดีหมิ่นประมาท คดีอันเกิดจากการแสดงความเห็นหรือปฏิบัติหน้าที่ ส.ส.ควรร่วมกันยึดถือความคุ้มกันนี้ไว้ในสมัยประชุม

แต่ถ้าเป็นการกระทำความผิดอาญาในฐานะส่วนตน ไม่เกี่ยวกับการแสดงความเห็น หรือ การปฏิบัติหน้าที่ และเป็นความผิดร้ายแรง เช่น ฆ่าคนตาย จ้างวานฆ่า ค้ายาเสพติด ค้ามนุษย์ ข่มขืน ผมเห็นว่า สภาผู้แทนราษฎรควรมีมติ อนุญาตให้นำตัว ส.ส.ที่เป็นผู้ต้องหาไปดำเนินคดี”

ที่สำคัญ นายเทพไท เสนพงศ์ อดีตส.ส.นครศรีธรรมราช โพสต์เฟซบุ๊กเรื่อง “ส.ส.ปูอัด : บทเรียนของพรรคส้ม” ระบุสาระสำคัญว่า

“...รู้สึกหดหู่ใจ ที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้ทรงเกียรติ โดนหมายจับในข้อหาเช่นนี้ นำความเสื่อมเสียมาสู่ภาพลักษณ์ของนักการเมือง ซึ่งเป็นอาชีพที่มีต้นทุนทางสังคมต่ำอยู่แล้ว ยิ่งทำให้ภาพของนักการเมืองคนที่เป็นส.ส.ตกต่ำมากขึ้นไปอีก

จนทำให้มีการเคลื่อนไหวในหมู่ส.ส.และนักการเมืองกันอย่างหลากหลาย เช่น กลุ่มแรกต้องการที่จะให้ส.ส.ปูอัด แสดงความรับผิดชอบทางการเมืองโดยการลาออก ซึ่งเป็นเอกสิทธิ์ของส.ส.ปูอัด ที่จะพิจารณาในเรื่องนี้ กลุ่มที่สอง เห็นว่าหากศาลมีหมายจับให้นำตัวส.ส. ไปดำเนินคดีในระหว่างสมัยประชุมสภา ขอให้ที่ประชุมมีมติ ส่งตัวส.ส. ปูอัดไปดำเนินคดีโดยไม่ควรปกป้อง เพราะเจตนารมณ์เรื่องเอกสิทธิ์การดำเนินคดีในระหว่างสมัยประชุม ต้องเป็นคดีเกี่ยวกับการเมือง

สำหรับกรณีที่เกิดขึ้น “เทพไท” ชี้ประเด็นว่า จากที่ติดตามบทบาทของส.ส.ปูอัดมาตั้งแต่สมัยเป็นส.ส.พรรคก้าวไกล และครั้งแรกถูกข้อกล่าวหาเรื่องการคุกคามทางเพศ จนพรรคก้าวไกลต้องขับออกจากการเป็นสมาชิกพรรค มาสังกัดพรรคไทยก้าวหน้า และถูกข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการล่วงละเมิดทางเพศอีกครั้ง

แม้ว่า ส.ส.ปูอัด จะถูกขับออกจากการเป็น ส.ส. ของพรรคก้าวไกล หรือพรรคประชาชนไปแล้วก็ตาม แต่ก็ยังมี ส.ส.ของพรรคประชาชน ที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากสังคมอยู่บ่อยๆ ซึ่งพอจะเข้าใจได้ว่า

1.ส.ส.พรรคประชาชน ที่ส่วนใหญ่เป็นคนหนุ่มสาว เป็นคนรุ่นใหม่ ย่อมมีความสุ่มเสี่ยงเกี่ยวกับประเด็นชู้สาว ให้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อยู่เสมอ

2.ส.ส.พรรคประชาชน ตกอยู่ในเป้าการตรวจของฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองอย่างใกล้ชิด เมื่อเกิดความผิดพลาดขึ้นมา ก็จะจับมาเป็นประเด็นขยายผลทันที

3.สังคมเรียกร้องมาตรฐานจริยธรรมและความรับผิดชอบต่อสังคมของส.ส.พรรคประชาชน สูงกว่าพรรคการเมืองอื่น...

ประเด็นที่ “เทพไท” ฝากเอาไว้ด้วย ก็คือ การคัดเลือกตัวผู้สมัคร ส.ส.ในการเลือกตั้งปี 2570 ว่า พรรคประชาชนควรคัดเลือกบุคคลที่มีคุณภาพ ภาพลักษณ์ดี ไม่มีประวัติเสื่อมเสีย ด่างพร้อย เข้ามาเป็นผู้สมัครส.ส.ในนามพรรค  

ประเด็นที่น่าจับตามอง ก็คือ สภาผู้แทนราษฎรไทย จะเอาอย่างไรกับคดีที่ “ผู้เสียหาย” เป็นนักท่องเที่ยวต่างประเทศ และเรื่องอยู่ในความดูแลของสถานทูตไต้หวัน ซึ่งไม่เพียงกระทบกับภาพลักษณ์ประเทศ ยังส่งผลเสียอย่างมหาศาลต่อการท่องเที่ยวไทยด้วย 

การให้ความคุ้มครองส.ส.ที่อยู่ในสมัยประชุมสภาฯ อาจจำเป็นต้องสร้างมาตรฐานสูง ในสายตาต่างประเทศ และของโลก หรือไม่  

เพราะแม้แต่นักกฎหมาย ผู้แตกฉานทางการเมือง อย่าง “ปิยบุตร” ยังออกมาชี้ช่องสนับสนุนให้ส่งตัวส.ส.ที่ทำผิดไปดำเนินคดีโดยไม่ถือว่า ผิดกฎหมาย 

เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงอยู่ที่มติของสภาผู้แทนราษฎร ว่าจะห่วงผลประโยชน์ เอกสิทธิ์คุ้มครองส.ส. มากกว่าผลประโยชน์ของประชาชน ประเทศชาติหรือไม่ เท่านั้นเอง