"ภูมิธรรม" เยี่ยมชม "อาร์ วี คอนเน็กซ์" ผู้ผลิตโดรนไทย พร้อมหนุนอุตฯป้องกันประเทศ

"ภูมิธรรม" เยี่ยมชม "อาร์ วี คอนเน็กซ์" ผู้ผลิตโดรนสัญชาติไทย ชง รบ.-กห. ส่งเสริมอุตฯป้องกันประเทศของไทย พร้อมรับมือสงครามยุคใหม่ แนะให้ความสำคัญจัดซื้อจัดจ้างผลิตภัณฑ์-ยุทโธปกรณ์ที่ผลิตในประเทศก่อน เพื่อขับเคลื่อน ศก.-ความมั่นคงของชาติ
วันนี้ (7 กุมภาพันธ์ 2568) ที่ บริษัท อาร์ วี คอนเน็กซ์ จำกัด จ.ปทุมธานี นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม และคณะ ได้เยี่ยมชม กระบวนการผลิตอากาศยานไร้คนขับ (UAV หรือโดรน) และศูนย์ปฏิบัติการเฝ้าระวังความมั่นคงปลอดภัยด้านไซเบอร์ (CSOC) ของ บริษัท อาร์ วี คอนเน็กซ์ จำกัด ซึ่งเป็นผู้ประกอบกิจการด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ และให้บริการเทคโนโลยีความมั่นคงปลอดภัยด้านไซเบอร์ชั้นนำของประเทศ โดยมี รศ.ดร.สุเจตน์ จันทรังษ์ ประธานบริษัท พร้อมด้วยผู้บริหาร บริษัท อาร์ วี คอนเน็กซ์ จำกัด ให้การต้อนรับ
โดย น.อ.กันต์พัฒน์ มังคละศิริ รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท อาร์ วี คอนเน็กซ์ จำกัด ได้เป็นผู้บรรยายสรุปถึงประเด็นการส่งเสริมอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของไทยที่อยากเสนอต่อรัฐบาล โดยชี้ให้เห็นว่า ปัจจุบัน บริษัท อาร์ วี คอนเน็กซ์ จำกัด รวมถึงผู้ประกอบการอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของไทยหลายราย มีศักยภาพ และมีความพร้อมที่ทัดเทียมกับผู้ผลิตยุทโธปกรณ์และเทคโนโลยีของต่างประเทศ โดย บริษัท อาร์ วี คอนเน็กซ์ จำกัด นั้นมีศักยภาพในการออกแบบ ผลิต UAV และการปรับปรุงอากาศยานรบให้แก่กองทัพอากาศ (ทอ.) ตลอดจนระบบต่อต้านอากาศยานไร้คนขับ (Anti-Drone System), ระบบเชื่อมโยงข้อมูลทางยุทธวิธี (Tactical Data Link : TDL), ระบบเทคโนโลยีรักษาความปลอดภัย (Intelligent Operation Center : IOC) และงานให้บริการข้อมูล ระบบวิเคราะห์ การเฝ้าระวังและการแจ้งเตือนเหตุการณ์ (Analysis, Monitoring and Alerting System) นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีความร่วมมือกับศูนย์การทหารปืนใหญ่ กองทัพบก ในโครงการพัฒนาระบบปฏิบัติการ ควบคุมและสั่งการ ศูนย์ปฏิบัติการทางยุทธวิธี กรมทหารปืนใหญ่ อีกด้วย
“ปัจจุบันสถานการณ์โลกมีความเปลี่ยนแปลง เกิด Hybrid Warfare (สงครามผสมผสาน) หรือ Electronic Warfare (สงครามอิเล็กทรอนิกส์) ที่ทำให้ต้องพัฒนา UAV และระบบป้องกันใหม่ๆ รวมถึงระบบรักษาความปลอดภัย-ข้อมูลสารสนเทศและไซเบอร์ จึงขอเสนอรัฐบาล และกระทรวงกลาโหมในกำกับของ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.กลาโหมให้ความสำคัญกับภัยคุกคามสมัยใหม่ที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ” น.อ.กันต์พัฒน์ ระบุ
น.อ.กันต์พัฒน์ กล่าวต่อว่า ยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. ๒๕๖๑ – ๒๕๘๐ ประเด็นยุทธศาสตร์ชาติด้านความมั่นคง ได้กำหนดแนวทางและนโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมป้องกันประเทศให้มีเทคโนโลยีเป็นของตนเอง สามารถแข่งขัน และลดการพึ่งพาหรือนำเข้าจากต่างประเทศอยู่แล้ว ดังนั้นการจัดซื้อจัดหายุทโธปกรณ์ของหน่วยปฏิบัติควรดำเนินการให้สอดคล้องกับนโยบายดังกล่าว อย่างไรก็ดี ระเบียบที่นำไปสู่การปฏิบัติในขั้นตอนการจัดหาอาจยังขาดความชัดเจนและอาจถูกตีความว่าการจัดซื้อจัดจ้างโดยเฉพาะเจาะจงไปที่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของไทยเป็นการเอื้อประโยชน์ต่อผู้ประกอบการ ทำให้ผู้ปฏิบัติขาดความมั่นใจและกังวลว่าจะถูกกล่าวหาว่าประพฤติทุจริต ส่งผลให้นโยบายการส่งเสริมสนับสนุนอุตสาหกรรมป้องกันประเทศเพื่อความมั่นคงและเศรษฐกิจของรัฐบาลไม่สามารถสัมฤทธิ์ผลได้ตามเจตนารมณ์
น.อ.กันต์พัฒน์ เปิดเผยด้วยว่า ปัจจุบันบริษัทฯ ได้ขยายการตลาดไปยังต่างประเทศโดยมีพันธมิตรความร่วมมือในเรื่อง UAV แล้วในหลายประเทศ เช่น เยอรมนี แคนาดา โปรตุเกส เป็นต้น ซึ่งในสถานการณ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) ขณะนี้ ถือเป็นโอกาสให้ไทยสามารถส่งออกเทคโนโลยีป้องกันประเทศ ไปยังประเทศที่ต้องการทางเลือกนอกเหนือจากชาติมหาอำนาจ โดยอาจใช้ประเทศไทย เป็นฐานการผลิตยุทโธปกรณ์ได้
ด้าน นายพิพัฒน์ ถาวรโลหะ ผู้อำนวยการฝ่ายวิศวกรรม บริษัท อาร์ วี คอนเน็กซ์ จำกัด ซึ่งเป็นผู้นำคณะรองนายกฯ เยี่ยมชมขีดความสามารถการพัฒนาและผลิต UAV กล่าวเสริมว่า บริษัท อาร์ วี คอนเน็กซ์ จำกัด มีบุคลากร เครื่องมืออุปกรณ์ ศักยภาพในการผลิต สามารถรองรับการผลิต และส่งออกนอกประเทศซึ่งเราเน้นการวิจัยพัฒนา และพึ่งพาตนเอง ตัวอย่างเช่น JRV-01 โดรนเป้าบินขับเคลื่อนด้วย jet engine ที่ บริษัท อาร์ วี คอนเน็กซ์ จำกัด สามารถผลิตได้เองเป็นประเทศแรกในอาเซียน
ขณะที่ นายธนจักร วัฒนกิจ รองประธานฝ่ายความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศและการวิเคราะห์ข้อมูล บริษัท อาร์ วี คอนเน็กซ์ จำกัด นำคณะรองนายกฯ เยี่ยมชม ศูนย์ปฏิบัติการเฝ้าระวังความปลอดภัยไซเบอร์ (CSOC) โดยมีระบบเฝ้าระวังและตอบสนองต่อภัยคุกคามของข้อมูลสารสนเทศและไซเบอร์ที่ครบวงจร (Managed Detection and Response (MDR) ชื่อ อะซูไรต์ (Azurites) ที่ได้ทำการให้บริการแก่ลูกค้าในต่างประเทศแล้ว เช่น ประเทศสิงคโปร์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย เมียนมา อินเดีย บรูไนเป็นต้น โดยบริษัทลูก “ซินแคลร์” ผู้ให้บริการ MDR ที่ใช้อะซูไรต์ ได้รับการขึ้นทะเบียนรายชื่อผู้เชี่ยวชาญในการให้บริการด้าน MDR จาก Gartner Peer Insights ผู้ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทวิจัยและให้คำปรึกษาชั้นนำในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) โดยเฉพาะในเรื่องของการประเมินผลิตภัณฑ์และบริการด้านความปลอดภัยไซเบอร์ ซึ่งเป็นที่ยอมรับแพร่หลายทั่วโลก นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์การตรวจจับการทุจริต (Fraud Detection) ซึ่งสอดคล้องกับ พรก ไซเบอร์ ฉบับใหม่ที่จะให้ธนาคารและค่ายมือถือร่วมรับผิดชอบกรณีมิจฉาชีพหลอกลวงประชาชน
ภายหลังเสร็จสิ้นการเยี่ยมชม นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.กลาโหมได้ให้สัมภาษณ์ว่า ส่วนตัวมีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสเยี่ยมชมกระบวนการผลิตอากาศยานไร้คนขับ UAV หรือโดรน และระบบเฝ้าระวังและตอบสนองต่อภัยคุกคามของข้อมูลสารสนเทศและไซเบอร์ ของบริษัท อาร์ วี คอนเน็กซ์ จำกัด ซึ่งรู้สึกภูมิใจที่รู้ว่าบริษัทไทยมีความสามารถด้านเทคโนโลยีป้องกันประเทศและมาตรฐานเทียบเท่ากับต่างประเทศ ซึ่งวันนี้เห็นแล้วว่าบริษัทไทยที่มีขีดความสามารถมีอยู่จริง เป็นการสร้างความมั่นใจให้แก่กระทรวงกลาโหมในการผลักดันให้เหล่าทัพใช้ยุทโธปกรณ์ที่ผลิตจากอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของไทย อีกทั้งยังรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่เห็นภาคเอกชนของไทยให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการส่งเสริมอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมเป้าหมาย (New S-curve) พิเศษที่ 11 และสอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงกลาโหมที่ส่งเสริมให้เกิดการเอื้ออำนวยต่อการดำเนินกิจการอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของภาคเอกชน ทั้งนี้ปัจจุบันแรงงานที่อยู่ในภาคอุตสาหกรรมป้องกันประเทศประมาณ 2 หมื่นคน เป็นส่วนสำคัญที่ยังคงต้องส่งเสริมให้เกิดแรงงานด้านเทคโนโลยีขั้นสูงให้เกิดขึ้น เป็นการพัฒนาประเทศและเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศไทย
“ผมขอขอบคุณผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ บริษัท อาร์ วี คอนเน็กซ์ จำกัด ที่ให้การต้อนรับผมและคณะเป็นอย่างดี และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า การเยี่ยมชมโรงงานผลิตในครั้งนี้จะเป็นการส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือในการพัฒนาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศระหว่างภาครัฐ และภาคเอกชนของประเทศไทยได้อย่างยั่งยืนต่อไป” นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม กล่าว
บริษัท อาร์ วี คอนเน็กซ์ จํากัด เป็นบริษัทของไทยที่ดําเนินธุรกิจด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ และเทคโนโลยีขั้นสูง (deep technology) มีพันธกิจหลักในการคิดค้น สนับสนุนงานวิจัยและพัฒนาเพื่อนํามา สู่การผลิต ยุทโธปกรณ์ รวมถึงเทคโนโลยีทันสมัยอื่นที่ตอบสนองความต้องการของภาคเอกชน และสามารถ ตอบสนองภารกิจของ ประเทศ โดยมุ่งหวังให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศไทย นอกจากนี้บริษัทฯ ยังเป็น หนึ่งในบริษัทคนไทยที่ได้รับเกียรติให้ เข้าร่วมลงนามข้อตกลงความร่วมมือ “แผนการพัฒนาและยกระดับ ระเบียงเศรษฐกิจตะวันออกด้วยเทคโนโลยีและ นวัตกรรม Eastern Economic Corridor of innovation (EECi)” ตามนโยบายของรัฐบาล
จากจุดเริ่มต้นที่มาจากการพัฒนาเทคโนโลยีของระบบต่างๆ เพื่อตอบสนองภารกิจด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ บริษัท อาร์ วี คอนเน็กซ์ ได้นำพื้นฐานองค์ความรู้ดังกล่าวมาประยุกต์ และเสริมด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยในปัจจุบันเป็นตัวนำและผลักดันในการยกระดับ บุคลากร เครื่องมือ เครื่องจักร ต่างๆ เพื่อตอบโจทย์ให้ตรงกับความต้องการของภัยคุกคามในปัจจุบัน เช่น ระบบเฝ้าระวังและตรวจความปลอดภัยไซ เบอร์ (Cyber Security) ระบบ ศูนย์ปฏิบัติการข้อมูลและสั่งการอัจฉริยะ (Integrated Operational Center - IOC) ระบบ วิเคราะห์และ แปลความภาพถ่ายทางอากาศโดยใช้ AI ระบบเชื่อมโยงข้อมูลยุทธวิธี (Tactical Data Link) ระบบอากาศ ยานไร้คนขับ (UAV) การผลิตชุดโลหะและสายไฟ (Mechanical Part and Cable Harness) การปรับปรุง และติดตั้ง อุปกรณ์บนอากาศยาน (Aircraft Upgrade) และศูนย์ซ่อมบํารุงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ เป็นต้น
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) รวมถึง ได้รับการ รับรองสินค้าที่ผลิตในประเทศไทย (Made in Thailand – MiT) จากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศ ไทยสําหรับผลิตภัณฑ์ หลากหลายรายการของบริษัทฯ และได้รับการอนุญาตให้จัดตั้งคลังสินค้าทัณฑ์บน ประเภทโรงผลิตสินค้าจากกรมศุลกากร อีกด้วย ทั้งนี้ การขอรับสิทธิประโยชน์ต่างๆ ตามการส่งเสริมของภาครัฐใดๆ ที่บริษัทฯดําเนินการและขอรับการส่งเสริมนั้น เพื่อสนับสนุนขีดความสามารถการพัฒนาผลิตภัณฑ์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมให้เกิดแก่ประเทศไทย โดยคาดหวังว่าจะ สามารถแข่งขันกับผลิตภัณฑ์ใน ต่างประเทศได้







