ไทยกับอีกก้าวที่ใกล้เป็น Failed State

ครั้งที่แล้วเขียนเรื่องประเทศไทยกำลังจะเป็นรัฐที่ล้มเหลวหรือ Failed State ด้วยตัวชี้วัดด้านต่างๆ สรุปว่า “ถึงไม่ใช่ก็ใกล้เคียง” ที่ประเทศไทยจะเป็นรัฐที่ล้มเหลว
ผ่านมาเพียงสัปดาห์เดียวก็เกิดเหตุการณ์ที่นำพาประเทศไทยเข้าไปใกล้กับสถานะนั้นมากยิ่งขึ้นอีก เมื่อผู้ช่วยรัฐมนตรี หลิวจงอี้ จากจีนมาลงพื้นที่ชายแดนเมื่อวันที่ 29 มกราคม เพื่อจัดการกับจีนเทาที่หลอกลวงคนของเขาไปทำงานในคอลเซ็นเตอร์ชายแดน หลังจากดาราจีนวัยรุ่นคนหนึ่งถูกจับแต่ติดตามตัวมาได้
การที่ผู้ช่วยรัฐมนตรีต้องบินมาลงดาบด้วยตัวเองอย่างรวดเร็วในประเทศเรา พร้อมทั้งมีข้อเสนอแนะและข้อวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานานั้นเพียงพอหรือยังที่จะบอกว่าคนของเราทำงานไม่ได้หรือไม่ได้ทำ ที่ผ่านมาปล่อยปะละเลยและมีการคอร์รัปชันจนถึงราก เขาจึงต้องมาจัดการ
การให้รัฐภายนอกเข้ามาจัดการกับปัญหาของเราเองย่อมหมายถึงอธิปไตยในการบริหารจัดการบ้านเมืองถูกริดรอนไปอย่างสิ้นเชิง
จากกรณีนี้ศักดิ์ศรีของประเทศและความเกรงใจจากนานาชาติจะไม่หลงเหลืออีกต่อไป เช่นนี้จะเรียกว่ารัฐนี้ล้มเหลวได้หรือยัง นั่นคือดอกที่หนึ่ง
ในเวลาไล่เลี่ยกัน มีการเผยแพร่ข้อเรียกร้อง 6 ข้อของรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงสาธารณะของจีน หวัง เสี่ยวหง ที่ประชุมออนไลน์กับรองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของไทย เมื่อวันที่ 24 มกราคมที่ผ่านมา
ข้อเรียกร้องทุกข้อเสมือนการยื่นคำขาด การขีดเส้นตายให้ฝ่ายไทยต้องทำ ทุกเรื่องสะท้อนว่าเขารู้หมดตั้งแต่เรื่องคอร์รัปชันภายใน ท่อน้ำเลี้ยงของทั้งสองฝั่ง
เมื่อเจ้าหน้าที่ไทยไม่ทำอะไรเขาจึงต้องเข้ามาสอนมวย เริ่มจากให้เอาข้อมูลแก๊งต่างๆ ที่เขามอบให้ไปตามจับมาให้ได้ ต้องปิดกั้นการส่งสาธารณูปโภคและการขนส่งวัสดุก่อสร้างต่างๆ พร้อมกันนั้นก็ให้ตั้งหน่วยปฏิบัติการร่วมไทยจีนเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการปฏิบัติการ
ข้อเรียกร้องเหล่านี้ฟ้องว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของเราขาดความใส่ใจ ทำอะไรไม่เป็น ไร้ประสิทธิภาพ จนต้องให้เขามาสอนว่าควรจะต้องทำอะไร แปลว่ากลไกการทำงานของรัฐไม่ทำงาน สะท้อนความล้มเหลวดอกที่สอง
ก่อนหน้านี้ เราจะเห็นกันว่า เรื่องการตัดไฟฟ้าที่ไปสนับสนุนกลุ่มคอลเซ็นเตอร์ กลุ่มสแกมเมอร์ กลุ่มค้ามนุษย์ และอื่นๆ นั้น เกิดการโยนกลองกันวุ่นวาย
การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคออกมาแถลงข่าวใหญ่โตที่ไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้นแถมยังทำให้ภาพลักษณ์เสียหายอีกต่างหาก ด้วยการสรุปว่าได้ถามหน่วยงานต่างๆ ด้านความมั่นคงไปแล้วแต่ไม่มีคำตอบว่าจะให้ตัดหรือไม่ตัดไฟ
ไฟฟ้าที่ขายไปก็นิดเดียวไม่กระทบรายได้เลยไม่ได้ทำอะไร แปลง่ายๆ คือไม่เคยตระหนักว่าไฟฟ้านิดเดียวนั้นสามารถกลับมาสร้างความเสียหายใหญ่หลวงให้กับประชาชนในประเทศอย่างไร
ด้านรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ บอกว่ารออยู่ๆ ไม่มีใครสั่งอะไรมา เลยไม่ทำอะไร เข้าทำนองเกียร์ว่างกันไปหมดทั้งระดับนโยบายและปฏิบัติการ นี่ก็ฟ้องอีกว่านักการเมืองไม่ได้เห็นประชาชนอยู่ในสายตา พรรคไหนที่ชอบพูดว่า “หัวใจคือประชาชน” เอาเข้าจริงก็เหลว
กระทั่งเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ที่สำนักงานใหญ่ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ มท.1 คลิกปุ่มตัดไฟเมียนมาดับวงจรแก๊งคอลเซ็นเตอร์
หน่วยงานไหนที่ชอบอวดอ้างว่า “ประชาชนเป็นศูนย์กลาง” เอาเข้าจริงก็โกหก เพราะรู้เห็นเป็นประจักษ์ว่าคนของเราถูกหลอกลวงต้มตุ๋นเสียหายเดือดร้อนกันทุกวันเป็นวงกว้าง
ประเทศเสียชื่อเสียงกลายเป็นทางผ่านของอาชญากรข้ามชาติมาเนิ่นนานแล้ว ถ้าเห็นแก่ประชาชนจริงต้องไม่รอให้สั่ง ต้องกล้าหาญที่จะแก้ปัญหา ไม่ใช่เกียร์ว่าง โยนกลองกันไปมา
มีนักการเมืองที่ไร้สติปัญญาบ้านเมืองก็เสียหาย มีปัญหาครั้งใดดีแต่จะสั่งเด้งคนนั้นคนนี้ ไม่รู้จักแก้ปัญหา ความไร้คุณภาพของนักการเมืองที่ไม่รู้หน้าที่ความรับผิดชอบ ขาดภาวะผู้นำและวิจารณญาน จะทำให้รัฐล้มเหลวอย่างรวดเร็ว นี่คือดอกที่สาม
นอกจากไม่ได้แก้ปัญหาที่ควรจะแก้ รัฐบาลกลับสร้างปัญหาที่จะเร่งไปสู่การเป็นรัฐที่ล้มเหลวเสียเอง นั่นคือไม่ตั้งอยู่ในหลักแห่งนิติธรรมหรือการบังคับใช้กฎหมาย
กฎหมายมีมากมายแต่ถูกละเลยบิดเบือน อีกทั้งปล่อยให้ผู้ที่มีชนักติดหลังอย่างพ่อของนายกฯ ออกมาแทรกแซงการทำงานของรัฐบาล เป็นการสร้างการอยู่เหนือกฎหมาย แม้แต่การตัดไฟหรือไม่ตัดไฟก็ยังอุตส่าห์ออกมาให้ความเห็นได้ ไม่รวมถึงการชี้นำนโยบายอีกหลายอย่างที่นักการเมืองต้องคล้อยตาม
การปล่อยให้อำนาจอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องเข้ามาแทรกแซง สร้างความสับสนให้ประชาชนและผู้ปฏิบัติงานคือดอกที่สี่ของอาการรัฐที่ล้มเหลว
สรุปแล้วความเป็นรัฐที่ล้มเหลวได้ฉายชัดแล้วในประเทศนี้ นับตั้งแต่การมีผู้นำรัฐบาลที่ไม่รู้เรื่อง ขาดสติปัญญาและความสามารถ การใช้อำนาจเหนือกฎหมาย รัฐมนตรีและหน่วยงานที่ปล่อยปะละเลยไม่ทำหน้าที่ ไม่เห็นปัญหาของประชาชนเป็นเรื่องสลักสำคัญ
ไม่ว่าเรื่องฝุ่นพิษ เรื่องภัยพิบัติ ไปจนถึงเรื่องต้มตุ๋นหลอกลวง กลไกของรัฐในการขับเคลื่อนประเทศที่เป็นง่อยจนประเทศอื่นต้องเข้ามาจัดการในประเทศเราเอง ทำให้ศักดิ์ศรีและอธิปไตยของประเทศเป็นที่ดูแคลนไปทั่ว
ประชาชนตาดำๆ จะดำรงชีวิตอย่างไรในรัฐที่ล้มเหลวเช่นนี้ หรือจะรอวันที่ประชาชนอุ้มลูกจูงหลานอพยพออกนอกประเทศเหมือนรัฐที่ล้มเหลวไปก่อนหน้านี้ จึงจะลุกขึ้นมาทำหน้าที่ ใครก็ได้ในรัฐบาลนี้ช่วยตอบที.