ชำแหละ อบจ. พรรคร่วมรัฐบาล 'แดง' รุก 'น้ำเงิน' ตรึงเก้าอี้หลัก

ภาพรวมของศึกชิงเก้าอี้ นายก อบจ. ที่ “พรรคร่วมรัฐบาล” ต้องมาห้ำหั่นกันเอง เพื่อชิงความได้เปรียบทางการเมือง วางฐานการเมืองเข้มแข็ง รองรับศึกเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในอีก 2 ปีข้างหน้า
KEY
POINTS
- เลือกตั้งนายก อบจ.ทั่วประเทศ หลายสนามพรรคการเมือง “ขั้วรัฐบาล” แข่งขันกันเอง เนื่องจากมีหลายพื้นที่จะเป็นพื้นที่ทับซ้อนอยู่ในขั้วเดียวกัน
- โดยพรรคเพื่อไทย พรรคภูมิใจไทย พรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคประชาธิปัตย์ พรรคกล้าธรรม ต่างต้องรักษาเก้าอี้ “ประมุขท้องถิ่น” เอาไว้ให้ได้
- ภาพรวมของศึกชิงเก้าอี้ นายก อบจ. ที่ “พรรคร่วมรัฐบาล” ต้องมาห้ำหั่นกันเอง เพื่อชิงความได้เปรียบทางการเมือง วางฐานการเมืองเข้มแข็ง รองรับศึกเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในอีก 2 ปีข้างหน้า
ผ่านพ้นศึกเลือกตั้งนายก อบจ.ทั่วประเทศ หลายสนามพรรคการเมือง “ขั้วรัฐบาล” แข่งขันกันเอง เนื่องจากมีหลายพื้นที่จะเป็นพื้นที่ทับซ้อนอยู่ในขั้วเดียวกัน
โดยพรรคเพื่อไทย พรรคภูมิใจไทย พรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคประชาธิปัตย์ พรรคกล้าธรรม ต่างต้องรักษาเก้าอี้ “ประมุขท้องถิ่น” เอาไว้ให้ได้
พรรคเพื่อไทย แม้จะมี “นายใหญ่” ทักษิณ ชินวัตร กลับมาช่วยหาเสียง เปิดศึกรุกไล่ดินแดน “สีน้ำเงิน” ตรึงพื้นที่สีแดงให้เหนียวแน่น โดยส่งผู้สมัครในนามพรรคเพื่อไทย 14 จังหวัด และส่งลงสมัครในนามสมาชิกพรรคเพื่อไทย 2 จังหวัด รวบ 16 จังหวัด
โดยคว้าชัยมาได้ 10 ที่นั่ง ได้แก่ เชียงใหม่ ลำปาง แพร่ น่าน นครราชสีมา สกลนคร หนองคาย มหาสารคาม นครพนม และปราจีนบุรี
ขณะเดียวกันต้องพ่ายแพ้ให้คู่แข่ง 6 จังหวัด ประกอบด้วย เชียงราย ลำพูน ศรีสะเกษ บึงกาฬ อำนาจเจริญ มุกดาหาร
พื้นที่โฟกัสหลักอยู่ที่ “ถิ่นสีน้ำเงิน” ที่ “นายใหญ่” ต้องการยึดมาให้ได้ เพราะต้องการต่อยอดไปยังการเลือกตั้งปี 2570 เพื่อจัดวางกำลังคนของตัวเองครองหัวหาดเอาไว้ เนื่องจากจุดแข็งของ “เพื่อไทย” ไม่ใช่กระแส แต่ต้องพึ่งพาบริการกระสุนมากขึ้น
“นายใหญ่” รู้ดีว่าการเมืองกระแสของ “เพื่อไทย” ที่ไม่ว่าจะส่งใครลงก็สามารถสู้กับ “บ้านใหญ่-คู่แข่ง” ได้ปิดฉากไปแล้ว จึงต้องทำการเมือง “บ้านใหญ่” วางฐานเสียงให้เหนียวแน่น
อย่างไรก็ตาม ผลการเลือกตั้ง นายก อบจ. บ่งบอกได้ชัดเจนว่า “นายใหญ่” เริ่มสิ้นมนต์ขลัง เพราะพ่ายแพ้ในพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญ แถมบางจังหวัดที่คว้าชัย แต้มแพ้ - ชนะไม่ทิ้งห่าง
โดยเฉพาะ เชียงราย และศรีสะเกษ ที่มีแชมป์เก่ามาจากค่ายสีน้ำเงิน เชียงราย “นายก นก” อทิตาธร วันไชยธนวงค์ คว้าแชมป์ไปครองได้ 249,845 คะแนน ส่วน “สลักจฤฎดิ์ ติยะไพรัช” ตัวแทนจากเพื่อไทย ได้ 230,262 คะแนน
ผลแพ้ชนะทิ้งห่างกัน 19,583 คะแนน ถือว่าสูสีพอสมควร แต่ในทางการเมืองแล้วความพ่ายแพ้ของตระกูล “ติยะไพรัช” อาจจะมีตระกูลบิ๊กเนมใน จ.เชียงราย จากค่ายสีแดงแอบยิ้มมุมปาก เพราะศึกรอบหน้า “นายใหญ่-เพื่อไทย” อาจจะเหลียวมองคนจากตระกูลอื่น
ความพ่ายแพ้ให้กับ “นายก นก” แห่งค่ายสีน้ำเงิน ต้องจับตาดูว่าพื้นที่เชียงราย ของค่ายสีแดงจะโดนรุกไล่มากแค่ไหน เพราะฐานกำลังของค่ายสีน้ำเงินแข็งแกร่งขึ้นทุกย่างก้าว
ศรีสะเกษ แชมป์เก่า “นายก ส้มเกลี้ยง” วิชิต ไตรสรณกุล ได้ 345,467 คะแนน ส่วนผู้ท้าชิง “เสี่ยปุ๊” วิวัฒน์ชัย โหตระไวศยะ ได้ 219,443 คะแนน สนามศรีสะเกษทำให้ความนิยมในตัวของ “ทักษิณ” ถูกตั้งคำถามทันทีว่าถึงเวลาสิ้นมนต์ขลังแล้วหรือไม่
เนื่องจากกระแสคนเสื้อแดงเคยแรงจัดจนเคยกวาด สส. ยกจังหวัดมาแล้ว และการเลือกตั้งปี 2566 “เพื่อไทย” คว้าเก้าอี้ สส. มาได้ 7 ที่นั่ง ค่ายสีน้ำเงินพ่ายยับทั้งที่มี “บ้านใหญ่ไตรสรณกุล” เป็นแบ็กอัพ คว้ามาได้ 2 ที่นั่ง
ทว่าการเลือกตั้งนายก อบจ. แต้มของ “วิชิต” จากค่ายสีน้ำเงินห่างจาก “วิวัฒน์ชัย” จากค่ายสีแดง ห่างกัน 126,024 คะแนน ทั้งที่เป็นถิ่นของคนเสื้อแดง ที่สำคัญ “ทักษิณ” ลงทุนลงแรงปักหลักปราศรัยถึง 2 วัน 5 เวที แต่ไม่สามารถปลุกกระแสเสื้อแดงให้เลือก “เพื่อไทย” ได้
อำนาจเจริญ ค่ายสีน้ำเงินยังแข็งแกร่ง “พนัส พันธุ์วรรณ” ได้ 80,066 คะแนน เอาชนะ “ดะนัย มะหิพันธ์” จากค่ายสีแดง ซึ่งได้ 43,438 คะแนน สนามนี้ “พนัส” ค่อนข้างแบเบอร์ ซึ่ง “นายใหญ่” ก็รู้ดีอยู่ก่อนแล้ว จึงไม่ลงพื้นที่ช่วยปราศรัยหาเสียง
เช่นเดียวกับ บึงกาฬ “แว่นฟ้า ทองศรี” ภรรยา “ทรงศักดิ์ ทองศรี” รมช.มหาดไทย ได้ 92,396 ด้าน ว่าที่ ร.ต.ภูมิพันธ์ บุญมาตุ่น จากค่ายสีแดงได้ 66,216 คะแนน สนามนี้ “นายใหญ่” ไม่ได้คาดหวังมาก แต่ต้องการทิ้งเชื้อทิ้งกระแสเอาไว้ เพื่อสู้กับตระกูลทองศรี ในสนามเลือกตั้ง สส.
เพื่อไทยพ่ายส้มเสียเรตติ้ง
อย่างไรก็ตาม สนามที่แพ้แบบน่าเจ็บในมากที่สุดหนีไม่พ้น"ลำพูน" เนื่องจากเป็นสนามเดียวที่ “ค่ายสีส้ม” คว้าเก้าอี้นายก อบจ. มาได้ และเป็นชัยชนะเหนือผู้สมัครจากค่ายสีแดง
โดย “วีระเดช ภู่พิสิฐ” จากพรรคประชาชน ได้ 109,530 คะแนน “อนุสรณ์ วงศ์วรรณ” จากพรรคเพื่อไทย ได้ 103,511 คะแนน ต้องยอมรับว่า ลำพูน สร้างความบอบช้ำให้ “นายใหญ่” ไม่น้อย เพราะเป็นพื้นที่ ที่ลงหาเสียงด้วยตัวเองอีกด้วย
แม้ “วิระเดช” จะเบียดเอาชนะแบบคะแนนไม่ทิ้งห่าง แต่ความพ่ายแพ้ย่อมส่งผลต่อเรตติ้งในภาพใหญ่ ปรากฏการณ์ “ส้ม” กิน “แดง” อาจจะขยายวงมากขึ้น
บทสรุปของพรรคเพื่อไทย ส่งผู้สมัครนายก อบจ. ทั้งหมด 22 จังหวัด คว้าชัยมาได้ 16 จังหวัด พ่ายไป 6 จังหวัด ต้องติดตามว่า “นายใหญ่-แกนนำค่ายแดง” จะสรุปบทเรียนอย่างไร เพื่อไปต่อในการเลือกตั้ง สส. ปี 2570
สีน้ำเงินตรึงพื้นที่แชมป์เข้าวิน
ด้านค่ายสีน้ำเงิน แก้เกมกระแส “พรรคภูมิใจไทย” ติดลบ ด้วยการกระจายให้ “เครือข่ายสีน้ำเงิน” ลงสมัครในนามอิสระ เพื่อให้คล่องตัวในการหาเสียง ไม่ต้องผูกติดกับพรรค เนื่องจากภาพลบจากหลากหลายนโยบาย ทำให้การเลือกตั้งปี 2566 พรรคภูมิใจไทยได้แต้มปาร์ตี้ลิสต์น้อยมาก คำนวณ สส. ได้เพียง 3 ที่นั่ง
อย่างไรก็ตาม “ครูใหญ่” เนวิน ชิดชอบ อ่านใจ “นายใหญ่” ออกว่าต้องลงสนามท้องถิ่น เพราะต้องการวางฐานการเมืองให้เข้มแข็ง อ่านทะลุไปว่ากระแสค่ายสีแดงไม่แรงเหมือนเดิม “ครูใหญ่” จึงต้องกำชับให้ “นักเรียนสีน้ำเงิน” ตรึงพื้นที่ทุกจังหวัดให้ได้
บทสรุปของสนาม นายก อบจ. สีน้ำเงิน แทบจะไม่เสียแชมป์ให้กับ “นายใหญ่-ค่ายแดง” เลย แถมยังมีบางพื้นที่รุกกินแดนเข้าไปด้วยซ้ำ
จำแนกพื้นที่ตรึงเอาไว้เหนียวแน่น อาทิ จ.เชียงราย “นายก นก” อทิตาธร วันไชยธนวงค์ จ.ศรีสะเกษ “นายก ส้มเกลี้ยง” วิชิต ไตรสรณกุล จ.บึงกาฬ “แว่นฟ้า ทองศรี” ภรรยา “ทรงศักดิ์ ทองศรี” รมช.มหาดไทย จ.อำนาจเจริญ “พนัส พันธุ์วรรณ” ขุนพลสีน้ำเงินพาเหรดรักษาแชมป์เอาไว้ได้หมด
ขณะเดียวกันมีพลาดไปเพียง 2 จังหวัด ประกอบด้วย จ.นครพนม “ศุภพานี โพธิ์สุ” ลูกสาวคนโตของ “ครูแก้ว” ศุภชัย โพธิ์สุ แชมป์เก่าได้ 139,885 คะแนน พ่ายให้กับ “อนุชิต หงษาดี” จากพรรคเพื่อไทย ได้ 170,133 คะแนน
“อนุชิต” ได้ท่อน้ำเลี้ยงดีจาก “รมต.เดือน” มนพร เจริญศรี รมช.คมนาคม สายตรง “เดอะซัน” สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.คมนาคม เมื่อมีอาวุธหนักอยู่ในมือ ผนวกกับเครือข่ายของ “มนพร” ที่เข้มแข็งมากขึ้นทุกวัน ทำให้ “อนุชิต” คว่ำ “ศุภพานี” ลงได้
อีกจังหวัดคือ มหาสารคาม แชมป์เก่าค่ายสีน้ำเงิน “คมคาย อุดรพิมพ์” ได้ 80,879 คะแนน แพ้ให้กับ “พลพัฒน์ จรัสเสถียร” จากพรรคเพื่อไทย ได้ 231,661 คะแนน ต้องยอมรับว่า “เสี่ยโจ้” ยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ทำการบ้านหนัก เพื่อยึดเก้าอี้นายก อบจ. ให้ได้ มีแรงสนับสนุนจาก “บิ๊กเนม” หลายคน
ฝั่งของ “คมคาย” ต้องยืนด้วยขาตัวเอง เนื่องจากผู้สนับสนุนจากค่ายสีน้ำเงิน วิเคราะห์ความเป็นไปได้ว่าจะชนะหรือไม่จากนาทีสุดท้าย เมื่อเรตติ้งไม่มี ทำให้ “กระสุน” ไม่มา ส่งผลให้ “คมคาย” แพ้แต้มขาดลอย
ขณะเดียวกัน “เครือข่ายสีน้ำเงิน” ยังตรึงพื้นที่ภาคใต้ของตัวเองเอาไว้ได้ ประกอบด้วย กระบี่ พังงา สตูล และก่อนหน้านี้ยังยึด นครศรีธรรมราช มาจากพรรคประชาธิปัตย์ เป็นของแถมอีกด้วย อย่างไรก็ตามต้องพ่ายแพ้ให้กับพันธมิตรพรรคร่วมรัฐบาลในสนาม สงขลา และ พัทลุง
รทสช.ยึดครองพื้นที่เดิม
พรรครวมไทยสร้างชาติ ภายใต้การบริหารงานของ “เลขาฯขิง” เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รมว.อุตสาหกรรม ยึดครองพื้นที่เดิมเอาไว้ได้ทั้งหมด โดยเฉพาะสุราษฎร์ธานี “ป้าโส” โสภา กาญจนะ ภรรยา ชุมพล กาญจนะ หัวหมู่เมืองร้อยเกาะ คว้าชัยเหนือ “กำนันศักดิ์” พงษ์ศักดิ์ จ่าแก้ว
แม้ “พงษ์ศักดิ์” จะลงสมัครในนามอิสระ แต่มีเงาของ “กล้าธรรม” ของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า อยู่เบื้องหลัง โดยก่อนหน้านี้ “พงษ์ศักดิ์” ส่งลูกสาว “อนงค์นาถ จ่าแก้ว” ไปนั่งเก้าอี้เลขาฯ “นฤมล ภิญโญสินวัฒน์” รมว.เกษตรและสหกรณ์ หัวหน้าพรรคกล้าธรรม
เมื่อถึงคราวเลือกตั้งนายก อบจ. ระหว่าง “โสภา-กำนันศักดิ์” จึงต้องเปิดศึกระหว่าง “รทสช.” และ “กล้าธรรม” ไปโดยปริยาย ชัยชนะของ “โสภา” จึงเป็นชัยชนะของ “รทสช.” ที่มีเหนือ “กล้าธรรม”
นราธิวาส แชมป์เก่าจอมเก๋า “กูเซ็ง ยาวอหะซัน” หน้าฉากมีทีมงานของพรรคประชาชาติ ให้การสนับสนุน ผนึกกับกองกำลังหลังฉากจาก รทสช. ซึ่งมีลูกชาย “วัชระ ยาวอหะซัน” สส. รทสช. คอยประสาน เอาชนะ “อับดุลลักษณ์ สะอิ” ซึ่งมีสองผู้ยิ่งใหญ่ “ธรรมนัส” และ “ชาดา ไทยเศรษฐ์” จากพรรคภูมิใจไทย ให้การสนับสนุน
พัทลุง บ้านใหญ่ “ธรรมเพชร” วิสุทธิ์ ธรรมเพชร รักษาแชมป์เอาไว้ได้ แม้จะชนกับ “สาโรจน์ สามารถ” จากค่ายสีน้ำเงิน
ภูเก็ต ว่ากันว่า “เรวัต อารีรอบ” มีดีลระหว่าง รทสช. และ ปชป. ไม่ส่งคนลงแข่งเพื่อตัดแต้มกันเอง ส่งเจ้าตัวเข้าวินแบบนอนมา แม้สนาม สส. จะเป็นของขุนพลสีส้มทั้งหมดก็ตาม
อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้มีผู้สมัครนายก อบจ. เครือข่าย รทสช. คว้าชัยมาแล้ว ประกอบด้วย เพชรบุรี ชุมพร การรักษาพื้นที่เอาไว้ได้ ทำให้ “รทสช.” มั่นใจว่าการเลือกตั้งปี 2570 อย่างน้อยก็จะรักษาเก้าอี้ สส. เขต เอาไว้ได้
ชทพ.เลือดสุพรรณฯเข้มข้น
สุพรรณบุรี ดินแดนมังกรฐานที่มั่นของตระกูลศิลปอาชา มาเที่ยวนี้ “รมต.ลูกท๊อป” วราวุธ ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา และ ประภัตร โพธสุธน เลขาธิการพรรค หักคนของพ่อ (บรรหาร ศิลปอาชา) หนุน “อุดม โปร่งฟ้า”
อีกฝั่งคือ “บุญชู จันทร์สุวรรณ” ลูกน้องก้นกุฏิของ “พ่อเติ้ง” แชมป์เก่าที่นั่งคุมบังเหียนมานาน 20 ปี ที่มี “จองชัย เที่ยงธรรม” บ้านใหญ่อีกหลังของเมืองสุพรรณ โดยมีทีมเสื้อแดงของพรรคเพื่อไทยสนับสนุนด้วย
ทว่าเลือดสุพรรณยังเข้มข้นอยู่กับตระกูล “ศิลปอาชา-โพธสุธน” ทำให้ “บุญชู-เที่ยงธรรม” แม้จะเป็นคนเก่าคนแก่ของ “พ่อเติ้ง” ยังต้องเจ็บช้ำใจ พ่ายแพ้ไปอีกครั้ง
ขณะเดียวกันบ้านใหญ่สะสมทรัพย์แห่งเมืองนครปฐม ยังไม่มีใครโค่นล้มได้ โดย “เสี่ยหนึ่ง” จิรวัฒน์ สะสมทรัพย์ ป้องกันแชมป์ได้แบบนอนมา แต่การเลือกตั้งปี 2570 ต้องวัดใจว่าตระกูล “สะสมทรัพย์” ยังอยู่กับ “วราวุธ-ชทพ.” อีกหรือไม่ เพราะมีข่าวคราวจะย้ายค่ายตั้งแต่การเลือกตั้งครั้งก่อน
ปชป.เสือลำบากแต้มหด
พรรคประชาธิปัตย์ ต้องยอมรับตัวเองว่าตกต่ำสุดขีด แม้เครือข่ายพรรคสีฟ้าจะสามารถรักษาเก้าอี้ นายก อบจ. สงขลา เอาไว้ได้ โดย “สุพิศ พิทักษ์ธรรม” ได้ 289,890 คะแนน แต่การลงสมัครในนามอิสระ ไม่พ่วงยี่ห้อ ปชป. โดนตั้งคำถามทันทีว่าหากติดยี่ห้อพรรคสีฟ้าแต้มของ “สุพิศ” จะมีมากน้อยเพียงใด
ขณะที่ประจวบคีรีขันธ์ “สราวุธ ลิ้มอรุณรักษ์” ลูกทีมของ “เสี่ยต่อ” เฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เข้าวินมาแบบสบายๆ ตรึงพื้นที่เมืองสามอ่าวเอาไว้ได้
ทว่าก่อนหน้านี้ “สส.แทน” ชัยชนะ เดชเดโช สส. นครศรีธรรมราช พ่ายศึกเมืองคอน โดนเครือข่ายสีน้ำเงิน บุกมายึดเก้าอี้นายก อบจ. นครศรีธรรมราช ด้วยการคว่ำ “กนกพร เดชเดโช” มารดาของ “สส.แทน”
ทั้งหมดคือภาพรวมของศึกชิงเก้าอี้ นายก อบจ. ที่ “พรรคร่วมรัฐบาล” ต้องมาห้ำหั่นกันเอง เพื่อชิงความได้เปรียบทางการเมือง วางฐานการเมืองเข้มแข็ง รองรับศึกเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในอีก 2 ปีข้างหน้า
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์