ปฐมบทพรรคประชาชน ปักธงส้ม ‘อบจ.ลำพูน’ โมเดล ?

ว่ากันว่า หลังจากนี้ “วอร์รูมพรรคส้ม” เตรียมถกกันเพื่อสรุปบทเรียน หาอุปสรรคขวากหนามสำคัญในการเลือกตั้งนายก อบจ.ที่ผ่านมา ก่อนจะปูทางไปสู่การสรรหาผู้สมัครชิงเก้าอี้นายกเทศมนตรี และนายก อบต.ในช่วงเดือน มี.ค. 2568
ผลเลือกตั้งนายก อบจ. และ ส.อบจ.ของพรรคประชาชน (ปชน.) อาจไม่ตรงตามเป้าหมายที่วางไว้เท่าที่ควร เนื่องจาก ปชน.ส่งผู้สมัครชิงเก้าอี้นายก อบจ. 17 จังหวัด แต่ได้รับชัยชนะมาแค่ 1 ที่นั่ง คือใน จ.ลำพูน
ส่วนจังหวัดที่ตั้งเป้าไว้ อย่างน้อยในพื้นที่โซนสีส้มเข้มข้นอย่าง สมุทรปราการ และภูเก็ต ที่กวาดชัยชนะ สส.ยกจังหวัดเมื่อปี 2566 กลับพ่ายแพ้ ส่วนที่เชียงใหม่ “เจาะไข่แดง” สส.เขตเมืองได้ 1 ที่นั่ง ก็แพ้ไปแบบพอได้ลุ้น
โดยความคืบหน้าล่าสุด ปชน.ได้ยื่นคำร้องถึง กกต.ขอให้มีการนับคะแนนเลือกตั้งนายก อบจ.ใหม่ในบางหน่วยแล้ว
โดยในลำพูน ผู้ชนะนายก อบจ.คือ “โกเฮง” วีระเดช ภู่พิสิฐ ได้ไป 109,372 คะแนน เบียดเอาชนะ “อนุสรณ์ วงศ์วรรณ” บ้านใหญ่ลำพูน อดีตรัฐมนตรี 2 สมัยยุครัฐบาลพรรคพลังประชาชน และอดีตนายก อบจ.ลำพูน ที่ได้ไป 103,405 คะแนน
ส่วนเก้าอี้ ส.อบจ.ของ ปชน.นั้น ได้ไปทั้งสิ้น 132 คน จาก 33 จังหวัด ทั่วประเทศ โดยเฉพาะ เชียงใหม่ และลำพูน กวาดไปถึงจังหวัดละ 15 ที่นั่ง
ทว่า 1 ที่นั่ง เก้าอี้นายก อบจ.ลำพูน ของ ปชน.นั้น มิได้เป็น “ผู้เล่นหน้าใหม่” ในตลาดการเมือง แต่คือ “กลุ่มบ้านใหญ่เดิม” ที่เคยมีบทบาท และอิทธิพลในพื้นที่ลำพูนมาก่อน
“โกเฮง” คือบุตรชายของ “โกเก๊า” ประเสริฐ ภู่พิสิฐ อดีตนายก อบจ.ลำพูน และอดีตประธานหอการค้าลำพูน ผู้มากบารมีในยุครัฐบาลไทยรักไทยเบ่งบาน
แม้ “พรรคส้ม” จะพยายามเคลมว่า “โกเฮง” มีจุดยืนและอุดมการณ์เป็นของตัวเอง โดยเดินบนเส้นทางการเมืองก้าวแรกตั้งแต่ยุคพรรคอนาคตใหม่ และเป็นผู้สมัคร สส. รวมถึงคณะทำงานในพื้นที่ให้ “พรรคส้ม” ตั้งแต่ปี 2561 ก็ตาม
ถึงขนาด “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” ประธานคณะก้าวหน้า ยังออกโรงหนุนว่า “บ้านใหญ่” มิใช่ “นามสกุล” แต่ให้ดูพฤติกรรม เพราะตัวเองก็นามสกุล “จึงรุ่งเรืองกิจ” เช่นกัน
แต่ปฏิเสธได้ยากว่า ในทางหนึ่ง “โกเฮง” และ “ธนาธร” คล้ายกันตรงที่มีความพยายามผลักดันตัวเองลงถนนการเมือง โดยยึดโยงอุดมการณ์ “พรรคส้ม” แต่อีกทางหนึ่งสกุล “ภู่พิสิฐ” ก็มีส่วนช่วยไม่มากก็น้อยในการปูทางบนถนนเส้นนี้ให้เดินง่ายขึ้น ไม่ต่างอะไรกับสกุล “จึงรุ่งเรืองกิจ” ของ “ธนาธร” แต่อย่างใด
เบื้องต้น “ณัฐพงษ์” และแกนนำพรรคส้ม มิได้โทษ กกต.ซึ่งจัดเลือกตั้งในวันเสาร์ 1 ก.พ.ที่ผ่านมาว่าเป็น “ชนวนเหตุ” ในการทำให้คนเดินทางกลับไปเลือกตั้งในภูมิลำเนาได้ไม่สะดวกนัก เพราะที่ผ่านมาการเลือกตั้งแทบทุกครั้งในไทยมักเกิดขึ้นในวันอาทิตย์ก็ตาม แต่กลับสรุปบทเรียนให้ตัวเองว่า เป็นเพราะพรรครณรงค์ให้ประชาชนออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งยังไม่แข็งขันเพียงพอ
โดยการจัดเลือกตั้ง “วันเสาร์” ถือเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้การเลือกตั้งนายก อบจ. เมื่อ 1 ก.พ.ที่ผ่านมา มีผู้ออกมาใช้สิทธิน้อย เพียงแค่ 58.45% เท่านั้น หากเทียบกับปี 2563 ที่มีผู้ออกมาใช้สิทธิกว่า 62% ส่วนจำนวนบัตรเสียเกือบล้านใบ และบัตรไม่เลือกผู้สมัครใดหรือ “โหวตโน” ราว 1.1 ล้านใบมีจำนวนใกล้เคียงกัน
นอกเหนือจากการเลือกตั้ง “วันเสาร์” ที่เป็นหนึ่งในชนวนเหตุให้ “พรรคส้ม” พ่ายแพ้ในศึกเลือกตั้งนายก อบจ.ครั้งนี้แล้ว ปัจจัยสำคัญคือมิติการเลือกตั้งท้องถิ่น กับการเลือกตั้งระดับชาติแตกต่างกัน เพราะการเลือกตั้งท้องถิ่นคือการเลือก “ตัวบุคคล” ที่ประชาชนในพื้นที่เห็นหน้าค่าตาเป็นประจำ และคอยช่วยเหลือในชุมชนต่าง ๆ ส่วนเลือกตั้งระดับชาติคือการเลือก “ตัวแทน” ไปเป็นปากเป็นเสียงในสภาฯ เพื่อผลักดันกฎหมาย หรือวาระต่าง ๆ เป็นต้น
ในขณะที่หลังการเลือกตั้งปี 2566 เป็นต้นมา มีหลายพื้นที่ สส.เขตของพรรคส้ม ที่ชนะการเลือกตั้ง กลับหมางเมินพื้นที่ มิได้ไปดูแลชาวบ้านประชาชนเท่าที่ควร ดังนั้นในการเลือกตั้ง อบจ.เมื่อปี 2568 จึงถูกชาวบ้านในพื้นที่ “สอนบทเรียน” เรื่องการเป็น “ผู้แทน” ประชาชน
ดังนั้น หลักสำคัญคือ ปชน.จำเป็นต้องสรุปบทเรียนเกี่ยวกับการเลือกตั้ง อบจ.ครั้งนี้ มองในมิติของ “ท้องถิ่น-ภาพใหญ่” ให้ชัดเจน มากกว่าการคำนวณฐานเสียงการเลือกตั้ง สส.ปี 2566 มาเทียบเคียงกับฐานเสียงในการเลือกตั้งท้องถิ่นเหมือนที่ผ่าน ๆ มา
ว่ากันว่า หลังจากนี้ “วอร์รูมพรรคส้ม” เตรียมถกกันเพื่อสรุปบทเรียน หาอุปสรรคขวากหนามสำคัญในการเลือกตั้งนายก อบจ.ที่ผ่านมา ก่อนจะปูทางไปสู่การสรรหาผู้สมัครชิงเก้าอี้นายกเทศมนตรี และนายก อบต.ในช่วงเดือน มี.ค. 2568 ที่บรรดาผู้บริหารท้องถิ่นเหล่านี้จะหมดวาระ และจัดการเลือกตั้งใหม่ต่อไป