‘คอลเซนเตอร์’ วาระร้อนรัฐบาล ‘นานาชาติ’ กดดัน โจทย์ใหญ่สกัด ลด ‘เทียร์2’

‘คอลเซนเตอร์’ วาระร้อนรัฐบาล ‘นานาชาติ’ กดดัน โจทย์ใหญ่สกัด ลด ‘เทียร์2’

‘คอลเซนเตอร์’ วาระร้อนรัฐบาล สัญญาณ ‘นานาชาติ’ กดดันไทย โจทย์ใหญ่สกัดลด ‘เทียร์ 2’ จับตานายกฯ ถก “สี จิ้นผิง” - ก.พ.บังคับใช้ พ.ร.ก.

KEY

POINTS

  • การเดินทางเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีน ของ “นายกฯ อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร ระหว่าง 5-8 ก.พ.68 นี้ เพื่อพบปะหารือแลกเปลี่ยนกับ “สี จิ้นผิง” ประธานาธิบดีจีน ไฮไลต์สำคัญที่ต้องจับตาประเด็นความร่วมมือการแก้ปัญหาแก๊งคอลเซนเตอร์ ซึ่งถือเป็นโจทย์ใหญ่ที่รัฐบาลกำลังเผชิญ
  • ตร.กับข้อห่วงใยการใช้ไทยเป็นทางผ่านของขบวนการแก๊งคอลเซนเตอร์ ปฏิเสธไม่ได้ว่าจะได้รับผลกระทบในเรื่องของการ “ปรับลด” การจัดลำดับเทียร์?
  • ข้อเสนอ “ตัดน้ำ-ตัดไฟ” เพื่อตัดท่อน้ำเลี้ยงของ “ธุรกิจมืด”เหล่านั้น คำชี้แจงจาก PEA  ต้องมีความชัดเจนรอบคอบ และรัดกุม
  • โจทย์ใหญ่ที่รัฐบาลแพทองธาร กำลังเผชิญแรงกดดันจากทั่วทุกสารทิศ จนได้เห็นอาการของ “นายใหญ่เพื่อไทย” ทักษิณ ชินวัตร บิดานายกฯ ใช้เวทีหาเสียง อบจ.ประกาศจะจัดการปัญหาแก๊งคอลเซนเตอร์ให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดภายในปีนี้  
  • “เกมการเมือง” รอจังหวะขยี้รัฐบาล เกทับผลงานในสมัยตนที่เคยบังคับใช้กฎหมายเข้มข้น จนมีการปรับจากระดับ “เทียร์ 2Watch List” ขึ้นมาอยูในระดับ“เทียร์ 2” จนถึงเวลานี้ 

การเดินทางเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีน ของ “นายกฯ อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร ระหว่าง 5-8 ก.พ.68 นี้ เพื่อพบปะหารือแลกเปลี่ยนกับ “สี จิ้นผิง” ประธานาธิบดีจีน นอกเหนือจากการกระชับความสัมพันธ์เนื่องในโอกาสครบ 50 ปีไทย-จีนแล้ว 

แน่นอนว่า จังหวะการพบกันของ “2 ผู้นำ” ย่อมถูกจับตาไปที่ไฮไลต์สำคัญในเวลานี้ นั่นคือ ประเด็นความร่วมมือการแก้ปัญหาแก๊งคอลเซนเตอร์ ซึ่งถือเป็นโจทย์ใหญ่ที่รัฐบาลกำลังเผชิญ

แม้ล่าสุด  “ประเสริฐ จันทรรวงทอง” รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอี) จะเปิดเผยว่า เครื่องไม้เครื่องมืออย่าง พระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ.2566 ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งผ่านความเห็นของที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเวลานี้ อยู่ระหว่างการพิจารณาของสํานักงานกฤษฎีกา คาดว่าจะมีผลบังคับใช้ในเดือนก.พ.นี้

ทว่า ท่ามกลางสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในเวลานี้ ยังเป็นจังหวะเดียวกันกับที่นานาชาติกำลังจับตา โดยเฉพาะประเด็นที่ไทยถูกใช้เป็นทางผ่านของเครือข่ายอาชญากรรมคอลเซนเตอร์ การค้ามนุษย์ และทุนสีเทา ไปยังประเทศเพื่อนบ้าน 

เห็นได้ชัด ถึงการเดินทางมายังประเทศไทยของ “หลิว จงอี้” ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคงสาธารณะแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน พร้อมคณะผู้บริหารชุดใหญ่ 15 คน ที่เดินสายเข้าพบหน่วยงานไทยหลายระดับ ทั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย สภาความมั่นคงแห่งชาติ  รวมถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นต้น

 

ไล่ตั้งแต่ วันที่ 27 ม.ค.68 ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคงจีน พบ พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (สอท.)

หลักใหญ่ใจความสำคัญที่ "หลิว จงอี้" สะท้อนผ่านไทยคือ  บช.สอท.เป็นหน่วยงานสำคัญ จึงเป็นหน่วยงานแรกที่ขอหารือด้วย แก๊งคอลเซนเตอร์ในเมียวดี ได้ทำร้ายร่างกายคนจากหลายประเทศ ตอนนี้พบว่ามี 36 กลุ่มแก๊งคนจีนที่สำคัญ และมีผู้เกี่ยวข้องมากกว่า 1 แสนคน ปัจจุบันมีประชาชนชาวจีนถูกหลอกไปทำงานจำนวนมาก และถูกทำร้ายร่างกาย และเสียชีวิต คดีของหวังซิง ทำให้นักท่องเที่ยวมีคำถามกับความมั่นใจในความปลอดภัยของไทย ส่งผลให้นักท่องเที่ยวที่เข้ามาไทยมีจำนวนลดลง

“ผมเห็นด้วยกับข้อเสนอท่าน ทั้ง 4 ข้อ ทำให้เรารู้ว่าทางไทยนั้นเข้าใจปัญหาอย่างลึกซึ้ง ซึ่งปัจจุบันทั่วโลกเกือบทุกประเทศ ได้รับผลกระทบจากคอลเซนเตอร์ไปแล้ว โดยมีสถิติว่าทั่วโลกมีความเสียหายจะเป็น 10 กว่าล้านล้านดอลลาร์แล้ว” หลิว จงอี้ กล่าว

‘คอลเซนเตอร์’ วาระร้อนรัฐบาล ‘นานาชาติ’ กดดัน โจทย์ใหญ่สกัด ลด ‘เทียร์2’

ถอดบทเรียน “หวัง ซิง” ปมเสี่ยงลดเทียร์

ที่น่าสนใจคือ การพบกันระหว่าง ผู้ช่วยรัฐมนตรีความมั่นคงจีน และ พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ และผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในวันถัดมา 28 ม.ค.68 นอกจาก แสดงความกังวล ในประเด็นที่ประเทศไทยถูกใช้เป็นทางผ่านของเครือข่ายดังกล่าว เช่นกรณี “หวัง ซิง” นักแสดงชายชาวจีน ที่เดินทางมาประเทศไทย ก่อนถูกหลอกข้ามแดนไปยังประเทศเมียนมา ทางการจีนจึงมีข้อเสนอในการจัดตั้งศูนย์ประสานงานร่วมระหว่างไทย-จีน ในการแก้ไขปัญหาแก๊งคอลเซนเตอร์

พล.ต.อ.ธัชชัย ยอมรับว่า การใช้ไทยเป็นทางผ่านของขบวนการแก๊งคอลเซนเตอร์ ปฏิเสธไม่ได้ว่าจะได้รับผลกระทบในเรื่องของการ “ปรับลด” การจัดลำดับเทียร์ เนื่องจากมีความละเอียดอ่อนในปัญหาการค้ามนุษย์

 

 

กฟภ.ไร้อำนาจตัดไฟ-เลิกสัญญา ?

ฉะนั้นสิ่งที่ต้องจับตาต่อ คือ มาตรการต่างๆ ที่จะถูกปล่อยออกมาหลังจากนี้ ไม่ว่าจะเป็นข้อเสนอ “ตัดน้ำ-ตัดไฟ” เพื่อตัดท่อน้ำเลี้ยงของ “ธุรกิจมืด”เหล่านั้น

ล่าสุด มีคำชี้แจงจาก “ประดิษฐ์ เฟื่องฟู” รองผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) หรือ PEA ในฐานะโฆษกประจำ กฟภ. พร้อมด้วย “ประสิทธิ์ จันทร์ประสิทธิ์”รองผู้ว่า กฟภ. ต่อประเด็นขายไฟให้เมียนมา ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์ในเวลานี้ 

ในมุมของ กฟภ.ยืนยันว่า ปัจจุบัน PEA มีรายได้จากการขายไฟฟ้าให้เมียนมา เฉลี่ยปีละ 800 ล้านบาท จากยอดขายไฟทั้งหมดที่ 6 แสนล้านบาท ในราคาเท่ากับประเทศไทย ถือเป็นสัดส่วนที่น้อยมาก ไม่เป็นไปตามข่าวที่กล่าวอ้าง โดยการจ่ายกระแสไฟฟ้าให้เมียนมาปัจจุบันมี 5 จุด แบ่งเป็นพื้นที่

1. บ้านเจดีย์สามองค์ - เมืองพญาตองซู รัฐมอญ บริษัท Mya Pan Investment and Manufacturing Company Limited ผู้ได้รับสัมปทานจากสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา

2. บ้านเหมืองแดง - เมืองท่าขี้เหล็ก รัฐฉาน บริษัท อัลลัวร์ กรุ๊ป (พีแอนด์อี) ผู้ได้รับสัมปทานจากสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา

3. สะพานมิตรภาพไทย - พม่า - เมืองท่าขี้เหล็ก รัฐฉาน บริษัท อัลลัวร์ กรุ๊ป (พีแอนด์อี) จำกัด ผู้ได้รับสัมปทานจากสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา

4. สะพานมิตรภาพไทย - พม่า แห่งที่ 2 อ.เมียวดี รัฐกะเหรี่ยง บริษัท Nyi Naung Oo Company Limited และ Enova Grid Enterprise (Myanmar) Company Limited ผู้ได้รับสัมปทานจากสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา

5. บ้านห้วยม่วง - อ.เมียวดี รัฐกะเหรี่ยง มีบริษัท Shwe Myint Thaung Yinn Industry & Manufacturing Company Limited (SMTY) ผู้ได้รับสัมปทานจากสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา

ส่วนกรณีการ “งดจ่ายไฟฟ้า” หรือบอก “เลิกสัญญา” ที่มีการเรียกร้องจากฟากฝั่งการเมืองเวลานี้ กฟภ.ชี้แจงว่า มี 2 กรณี ได้แก่ 1. คู่สัญญาดำเนินการผิดสัญญา เช่น ไม่ชำระค่าไฟฟ้าตามกำหนด หรือไม่วางหลักประกันสัญญา และ 2. กระทบต่อความมั่น คงของประเทศ

การที่ทั้งนี้ PEA จำเป็นต้องมีหนังสือเป็นทางการไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น หน่วยงานความมั่นคง กระทรวงการต่างประเทศ ก่อนการดำเนินการบังคับใช้ข้อสัญญาดังกล่าวหากเป็นในเรื่องนโยบาย PEA จำเป็นต้องขอความเห็นชอบจาก ครม.

“PEA ไม่มีสิทธิเข้าไปตรวจสอบในประเทศคู่สัญญา ต้องให้ฝั่งรัฐบาลคู่สัญญาเป็นผู้แจ้งมาว่ามีบริษัทสีเทาจริง เพราะหากต้องตัดไฟจะกระทบกับผู้ใช้ไฟฟ้าที่ไม่รู้เรื่องด้วย โดยเฉพาะรอยต่อการค้าระหว่างประเทศด้วย ดังนั้น จึงกระทบหลายส่วนมาก จึงต้องมีความชัดเจนรอบคอบ และรัดกุม” คำชี้แจงจาก กฟภ.

‘คอลเซนเตอร์’ วาระร้อนรัฐบาล ‘นานาชาติ’ กดดัน โจทย์ใหญ่สกัด ลด ‘เทียร์2’

ปมขายไฟ โยง “ทุนข้ามชาติ-พรรคการเมือง”

เมื่อตรวจสอบรายชื่อทั้ง 5 จุด ต้องสะดุดที่หนึ่งในบริษัทซึ่งได้รับสัมปทาน คือ บริษัท อัลลัวร์ กรุ๊ป (พีแอนด์อี) เคยถูกฝ่ายค้านนำมาอภิปรายในสภาฯ ในรัฐบาลชุดที่แล้ว โดยมีการฉายภาพไปถึง “กลุ่มทุนข้ามชาติ” ที่มีความเชื่อมโยงกับอดีต สว. รวมถึงกลุ่มทุนพรรคการเมืองบางพรรคอีกด้วย

เมื่อเป็นเช่นนี้ ย่อมไม่พ้น ถูกนำไปผูกโยงกับการเมือง ท่ามกลางกระแสวิพากษ์วิจารณ์ที่กำลังเกิดขึ้นเวลานี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เด้ง 3 ผกก.เซ่นปมนักท่องเที่ยวถูกหลอก

ล่าสุด "พล.ต.ท.กิตติศักดิ์ ดุรงควิบูลย์" ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 มีคำสั่งเมื่อวันที่ 28 ม.ค.68 ที่ผ่านมา ย้าย 3 ผกก.อำเภอชายแดน จ.ตาก ประกอบด้วย พ.ต.อ.พิทยากร เพชรรัตน์ ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรแม่สอด จ.ตาก พ.ต.อ.ฉัตรชัย คำยิ่ง ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรพบพระ จ.ตาก และ พ.ต.อ.ฐมฌ์พงศ์ เพ็ชรพิรุณ ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรแม่ระมาด จ.ตาก

ระบุเหตุผลว่า เนื่องมาจากมีการแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง พบปัญหานักท่องเที่ยวถูกมิจฉาชีพหลอกลวงมาในประเทศไทย แล้วหายตัวจากชายแดนไปยังเมืองเมียวดี ประเทศเมียนมา และมีการลักลอบข้ามแดน ผ่านช่องทางธรรมชาติ อำเภอแม่สอด อำเภอแม่ระมาด อาจเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ ซึ่งอยู่ในความดูแลของผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรแม่สอด ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรพบพระ และผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรแม่ระมาด จังหวัดตาก จึงให้นายตำรวจดังกล่าวไปช่วยราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจภูธรภาค 6 โดยขาดจากการปฏิบัติหน้าที่ทางตำแหน่งเดิม ทั้งนี้ ตั้งแต่ 27 ม.ค.2668 จนกว่ามีคำสั่งเปลี่ยนแปลง

อีกประเด็น ที่น่าห่วงคือ ก่อนหน้านี้รายงานอ้างถึง “ฝ่ายความมั่นคงของไทย” ระบุว่า จะมีการส่งตัวเหยื่อค้ามนุษย์แก๊งคอลเซนเตอร์ 61 คน จากฝั่งเมียวดี ประเทศเมียนมาให้ยังทางการไทย มายัง อ.แม่สอด จ.ตาก ในวันที่ 29 ม.ค.68

ทว่าล่าสุด กลับมาการเปิดเผยจากพล.ต.อ.ธัชชัย จเรตำรวจฯ ระบุว่า ยังไม่มีการส่งตัวคนไทยกลับมายังประเทศ โดยกลุ่มคนที่จะถูกส่งมา เป็นชาวต่างชาติหลายสัญชาติ แต่ไม่มีคนไทย หากส่งมาขั้นตอน ทางตำรวจจะนำตัวทั้งหมดเข้าขบวนการกลไกการส่งต่อระดับชาติ (NRM) หรือการคัดแยกคัดกรองผู้เสียหาย ว่าจะเข้าข่ายขบวนการค้ามนุษย์หรือไม่

‘คอลเซนเตอร์’ วาระร้อนรัฐบาล ‘นานาชาติ’ กดดัน โจทย์ใหญ่สกัด ลด ‘เทียร์2’

 โจทย์ใหญ่รัฐบาลสกัดลด “เทียร์ 2”

ปัญหาแก๊งคอลเซนเตอร์ ที่กำลังเป็นไฟไหม้ฟางลามไปถึงปัญหาการค้ามนุษย์ จึงกลายเป็นอีกหนึ่งโจทย์ใหญ่ที่รัฐบาลแพทองธาร กำลังเผชิญแรงกดดันจากทั่วทุกสารทิศ 

จนได้เห็นอาการของ “นายใหญ่เพื่อไทย” ทักษิณ ชินวัตร บิดานายกฯ ใช้เวทีหาเสียง อบจ.ประกาศจะจัดการปัญหาแก๊งคอลเซนเตอร์ให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดภายในปีนี้  

ต้องไม่ลืมว่า ปัจจุบันไทยถูกจัดลำดับอยู่ในระดับ “เทียร์ 2”  คือ มีการปฏิบัติตามมาตรฐานขั้นต่ำของทีวีพีเอ ไม่ครบถ้วน แต่มีความพยายามอย่างมีนัยสำคัญเพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานเหล่านั้น

จากแรงกดดันที่ถูกส่งไปยังรัฐบาลในเวลานี้ ถือเป็นโจทย์ใหญ่ของรัฐบาลในการหามาตรการสกัดกั้น ไม่ให้ไทยถูกลดละดับจาก “เทียร์ 2” ลงไปอยู่ที่  “เทียร์ 2 Watch List” หรือประเทศเฝ้าระวัง เหมือนดังเช่น รัฐบาลในอดีต เพราะหากเป็นเช่นนั้น ย่อมส่งผลไปถึงความเชื่อมั่นทั้งภาคเศรษฐกิจ และการลงทุนแบบเต็มๆ

มิหนำซ้ำ จะกลายเป็น “เกมการเมือง” เข้าทางพรรคบางพรรค “ลุง” บางคน ที่จ้องจะหยิบประเด็นนี้มาขยี้รัฐบาล แถมเกทับผลงานในสมัยตนที่เคยบังคับใช้กฎหมายเข้มข้น จนมีการปรับจากระดับ “เทียร์ 2Watch List” ขึ้นมาอยูในระดับ “เทียร์ 2” จนถึงเวลานี้ 

 

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์