ประชามติ ‘กาสิโน’ ด่านสกัด ‘เสียงข้างมาก-เพื่อไทย’

ภาคประชาชน "ค้านกาสิโน" ยกระดับ ดันให้ "รัฐบาล" ทำประชามติกาสิโน เพราะไม่ยอมให้ "พท." ใช้เสียงข้างมากในสภาฯ ลากร่างกม.เอนเทอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ พ่วงกาสิโน โดยไม่ฟังเสียงประชาชน
KEY
POINTS
Key Point :
- เครือข่ายประชาชน และนักวิชาการ เดินเครื่อง ค้านกาสิโน ผ่านการเข้าชื่อคัดค้าน
- ทว่าแรงส่งที่มีเกินครึ่งแสน หลังล่าชื่อ4วัน ไม่อาจกระตุกให้ "รัฐบาล-แพทองธาร" รับฟังได้
- ภาคประชาชน จึงยกระดับตัวเองผ่านกระบวนการทางกฎหมายเข้าชื่อเพื่อชงให้ "ครม." ทำประชามติ ถามคนทั้งประเทศว่า เห็นด้วยกับกาสิโนหรือไม่
- กับการ ล่าชื่อทำประชามตินั้น ตามกฎหมายประชามติ เปิดช่องให้ "รัฐบาล" รับหรือไม่รับก็ได้ เหมือนกับครั้งที่ประชาชนสองแสนกว่า ชงคำถามประชามติ ที่ผ่านไปเป็นปี "ครม." ยังไม่มีท่าทีชัดเจน
- แต่เสียง "ค้านกาสิโน" รอบนี้อาจไม่ย่ำรอย เพราะพวกเขามีแรงส่งถึง "พรรคการเมือง-นักการเมือง" ได้ฐานะผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
- ด้วยเกมยาวของการทำร่างกฎหมาย อาจได้เห็นแรงกดดันจากประชาชน ที่ยันกับ "เสียงข้างมากในสภาฯ" ได้ ก็อาจเป็นได้
อาจไม่ใช่เรื่องง่ายของเสียงข้างมากในสภาฯ ต่อการผลักดัน ร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ… หรือ ร่างพ.ร.บ.เอนเทอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ที่ลากพ่วงไปกับ “กาสิโน” อีกต่อไป
เมื่อเครือข่ายภาคประชาชน ในนามของ “มูลนิธิรณรงค์หยุดพนัน” ผนึกกำลังกับเครือข่ายวิชาการ “กลุ่มเศรษฐศาสตร์เพื่อสังคม” รวมถึงภาคประชาสังคมที่เกี่ยวข้อง ลุกขึ้นมาเปิดแคมเปญ “ไม่เอากาสิโน” ต้องทำประชามติ ล่าชื่อประชาชน 5 หมื่นชื่อเพื่อยื่นต่อ คณะรัฐมนตรี (ครม.)ผ่าน คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้นำประเด็นการเปิดกาสิโนถูกกฎหมาย ซึ่งระบุไว้ในร่าง พ.ร.บ.เอนเทอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ไปออกเสียงประชามติ ถามประชาชนทั้งประเทศว่า “เห็นด้วย“ หรือ ”ไม่เห็นด้วย”
ถือเป็นการแอ็กชันของ “ภาคประชาชน” ที่ใช้ช่องทางของกฎหมาย ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ มาตรา 9(5) ที่กำหนดให้ ประชาชนมีสิทธิเข้าชื่อ ไม่น้อยกว่า 5 หมื่นคน เสนอต่อ ครม. เพื่อให้ความเห็นชอบในการออกเสียงประชามติ ตามหลักเกณฑ์ และวิธีการที่ กกต.กำหนด
หลังจากที่ก่อนหน้านี้ “เครือข่ายรณรงค์หยุดพนัน” และนักวิชาการที่เกี่ยวข้อง มีความพยายามคัดค้านนโยบายการเปิดกาสิโน ผ่านช่องทางออนไลน์ ในหัวข้อ “เสียงคนไทยไม่เอากาสิโน” ตั้งแต่ 15 ม.ค.ที่ผ่านมา และหลังจากเปิดให้เข้าชื่อ 4 วัน พบว่ามีผู้ร่วมอุดมการณ์ “ไม่เอากาสิโน” ทะลุกว่า 5 หมื่นคน
ทว่า การเข้าชื่อเพื่อแสดงเจตจำนงที่ว่านั้น ไม่สามารถเปลี่ยนเป็นพลัง ที่จะทำให้รัฐบาลทบทวนการเดินหน้าออกกฎหมายเอนเทอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ได้ เพราะยังคงยึดตามมติ ครม. เมื่อ 13 ม.ค.ที่อนุมัติในหลักการของร่างกฎหมาย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ พร้อมส่งให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
ล่าสุด “ปกรณ์ นิลประพันธ์” เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา บอกว่าจะใช้เวลาตรวจเนื้อหารวมปรับแก้ 50 วัน ซึ่งกฤษฎีกาตั้งคณะกรรมการคณะพิเศษ ที่มี “วิษณุ เครืองาม” เป็นประธาน และมีผู้ทรงคุณวุฒิ เช่น บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ธงทอง จันทรางศุ ไพโรจน์ วายุภา เป็นต้น ร่วมวง พร้อมย้ำด้วยว่า
“การพิจารณานั้น จะเป็นไปตามนโยบายรัฐบาล ซึ่งเป็นคนละประเด็นกับการทำให้ร่างกฎหมายเป็นที่ยอมรับของสังคม”
ดังนั้น กระบวนการของภาคประชาชน ต่อการใช้ช่องกฎหมายประชามติ จึงถือเป็นการ “ยกระดับ” ที่ต้องการให้ประชาชนทั่วประเทศ สะท้อนเสียงไปยังรัฐบาล ที่พยายามเข็นนโยบายที่เกี่ยวกับอบายมุข ซึ่งมีผลกระทบต่อสังคม มาเป็นเครื่องมือ ดันตัวเลขทางเศรษฐกิจ
ต้องยอมรับว่า ในกระบวนการของ “ภาคประชาชน” ต่อการล่ารายชื่อ จะมีขั้นตอนและใช้เวลาเข้าชื่อ ผ่านเอกสารตามแบบฟอร์ม และต้องให้ กกต.ตรวจสอบความถูกต้อง และคุณสมบัติของผู้สนับสนุนการทำประชามติ
โดยกะเกณฑ์อาจต้องใช้เวลารวม 3-4 เดือน ก่อนจะส่งให้ ครม.พิจารณาว่า จะ “เห็นชอบ” เพื่อนำไปสู่กระบวนการออกเสียงประชามติ ตามที่ประชาชนเสนอหรือไม่
หากย้อนความ ต่อประเด็นที่ “เครือข่ายประชาชน” ผลักดันให้ ครม.ทำประชามติในประเด็นสำคัญ และมีความเกี่ยวพันกับประชาชน ที่ผ่านมา เกิดขึ้นแล้ว 1 ครั้ง คือ การเสนอคำถามประชามติต่อรัฐบาลเพื่อไทย เมื่อ 28 ส.ค.2566 จาก “กลุ่มประชาชนร่างรัฐธรรมนูญ”
ในครั้งนั้น เครือข่ายล่ารายชื่อประชาชนได้กว่า 2 แสนรายชื่อ แนบไปพร้อมกับคำถามทำประชามติ ในการเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ ด้วยกลไก “สภาร่างรัฐธรรมนูญ” (ส.ส.ร.) ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน 100%
ผ่านมาแล้ว 1 ปี 5 เดือน รัฐบาลยังไม่มีมติ หรือความชัดเจนต่อทิศทาง ต่อข้อเสนอของ “กลุ่มประชาชนร่างรัฐธรรมนูญ” ซึ่งใช้กลไกของกฎหมายประชามติ มาตรา 9(5) ดำเนินการเช่นเดียวกัน
หากเทียบกันแล้ว ประเด็น “คัดค้านกาสิโน” รอบนี้ “เสียงประชาชน” อาจลงรอย คล้ายกันกับ “คำถามประชามติ” ที่รัฐบาล “ปฏิเสธ” การรับฟัง และเลือกเดินหน้าไปตามการศึกษาของกรรมการที่รัฐบาลตั้งขึ้น
ประเด็นกาสิโน ที่มีผลกระทบกับสังคมวงกว้าง และระยะยาว เชื่อแน่ว่า ผลลัพธ์อาจไม่เหมือนกัน ไม่ว่ารัฐบาลจะปฏิเสธการรับฟัง หรือมีมติไม่เห็นชอบต่อข้อเสนอของเครือข่ายรณรงค์หยุดพนัน ความกดดันอาจจะพุ่งไปที่“พรรคการเมือง” แทน
ดังนั้นความตั้งใจ ที่พรรคเพื่อไทยจะใช้เสียงข้างมากในสภาฯ เกิน 300 เสียง เข็นร่าง พ.ร.บ.เอนเทอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ อาจจะสะดุด ด้วยความหลากหลายของพรรคในรัฐบาลผสม
พรรคการเมืองที่ฟังเสียงประชาชนที่แท้จริง อาจไม่ยอมให้ “เพื่อไทย” คุมเกม บังคับทิศทางได้ง่าย เพราะสุดท้ายเมื่อถึงวันหมดหัวโขน และกลับไปเลือกตั้งอีกครั้ง “พรรคการเมือง-นักการเมือง” ต้องเลือกข้างประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
อีกทั้ง การพิจารณากฎหมายในสภาฯ ที่หลายต่อหลายครั้ง เป็นเกมที่สู้กันระหว่างพรรคการเมือง ต่อการชิงฐานเสียง ทางด้านนโยบาย แต่ละพรรค ล้วนต้องใช้ไหวพริบ แทกติก และวางสนุ๊ก เพื่อไม่ให้ “ฝ่ายใด” ได้คะแนนเสียงเกินหน้าเกินตา
หากนึกภาพไม่ออก ให้นึกถึงกรณีตัวอย่าง “ร่างกฎหมายกัญชา” ของพรรคภูมิใจไทย ในสภาฯ สมัยที่แล้ว ที่แม้ผ่านชั้นรับหลักการ และเสนอร่างแก้ไขสู่สภาฯ วาระสองได้ แต่ด้วยกลเกมการเมืองในสภาฯ ร่างกฎหมายกัญชาก็ไปไม่ถึงฝั่ง ยื้อกันจนสภาฯ หมดวาระมาแล้ว.







