ศึกใน นายกเลือดสุพรรณฯ ‘ศิลปอาชา’แตกหัก ‘จันทร์สุวรรณ’

อนาคตนายก อบจ.สุพรรณบุรี จะยังอยู่ที่คนเกเ่าหรือคนใหม่ "พรรคชาติไทยพัฒนา" ของคนตระกูลการเมือง "ศิลปอาชา" และ "โพธสุธน" เป็นกองหนุนให้ "อุดม โปร่งฟ้า" ขณะที่อดีตแชมป์เก่าหลายสมัย "บุญชู จันทร์สุวรรณ" ลูกชายกำนันดิน ตระกูลที่ผูกพันกับ "มังกรการเมือง" อย่าง "บรรหาร"
KEY
POINTS
- ตระกูล “จันทร์สุวรรณ” กับ “ศิลปอาชา” ถือเป็นตระกูลเก่าแก่ใน จ.สุพรรณบุรี 2 ตระกูลนี้ผูกพันจับมือแบ่งกันทำงานการเมืองท้องถิ่นและระดับชาติ
- ศึกเลือกตั้งนายก อบจ.สุพรรณบุรี 1 ก.พ. 2568 แตกต่างจากทุกครั้ง เพราะเป็นการสู้กันของสองตัวเต็งที่ต่างฝ่ายต่างเป็นคนของ "พรรคชาติไทยพัฒนา"
- "อุดม โปร่งฟ้า" ผู้สมัครนายก อบจ.สุพรรณฯ ได้ใช้สัญลักษณ์พรรคลงสมัคร จึงเป็นจุดแตกหักให้ "บุญชู จันทร์สุวรรณ" ต้องเปิดหน้าสู้ในนามอิสระ ใช้สัญลักษณ์ "สีแดง" มีกองหนุนเฉพาะกิจนำโดย "พร้อมพงศ์ นพฤทธิ์" พร้อมอดีตแกนนำ นปช.ภาคกลางสาย "เพื่อไทย" เป็นพันธมิตร
- การเมืองท้องถิ่นสุพรรณฯ ครั้งนี้ เดิมพันว่า "บ้านใหญ่" ในจังหวัด "บรรหารบุรี" จะกินรวบได้ทั้งจังหวัดหรือไม่
ตระกูล “จันทร์สุวรรณ” กับ “ศิลปอาชา” ถือเป็นตระกูลเก่าแก่ใน จ.สุพรรณบุรี สหายรักเกลอเก่า เลือดสุพรรณฯ
กำนันดิน จันทร์สุวรรณ ซึ่งเป็นกำนัน ต.หนองสะเดา อ.สามชุก และยังเป็นหัวคะแนนเป็นกัลยาณมิตรของ “บรรหาร ศิลปอาชา” มาตั้งแต่ลงสนามสนามเลือกตั้งระดับชาติเมื่อปี 2519 ส่งต่อมรดกทางการเมืองมาถึงลูกชาย “บุญชู จันทร์สุวรรณ” อดีตนายก อบจ.สุพรรณบุรี ที่เป็นแชมป์มากที่สุด ถึง 4 สมัย
กำนันดินสั่งเสีย ลูกหลาน “จันทร์สุวรรณ”ว่า “อย่าทิ้งคนตระกูลศิลปอาชา”
ทำให้ “ตระกูลจันทร์สุวรรณ” จึงรับบทเป็นฐานเสียงท้องถิ่นให้กับ “บรรหาร” ใน จ.สุพรรณบุรี ส่วนการเมืองระดับชาติ “ศิลปอาชา” โดย “มังกรเติ้ง” บรรหาร อดีตนายกฯ คนที่ 21 จะเป็นผู้รับบทด้วยตัวเอง
ปฐมบท “ศิลปอาชา” เรืองอำนาจจากพรรคชาติไทย ต่อเนื่องมาถึงยุคพรรคชาติไทยพัฒนา เพราะ “บรรหาร” ได้ “บุญชู จันทร์สุวรรณ” ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นลูกบุญธรรมอีกคนหนึ่ง เป็นคีย์แมนการเมืองท้องถิ่น ด้วยภาพลักษณ์ทำงานการเมืองติดดินแบบ “บรรหาร”
ส่งผลให้ “บรรหาร ศิลปอาชา” ออกแรงดัน “บุญชู จันทร์สุวรรณ” เป็น นายก อบจ.สุพรรณบุรี ตั้งแต่ ปี 2547 ได้จนถึงปัจจุบัน กระทั่งมีการเลือกตั้ง นายก อบจ. สุพรรณบุรี ในวันที่ 1 ก.พ. 2568
ก่อนที่มังกรการเมือง “บรรหาร” จะสิ้นลม ก็เคยเอ่ยกับลูกหลานศิลปอาชา ให้ดูแลอย่าทิ้ง “บุญชู”
ทว่า จุดแตกหักของคนกันเอง จนปะทุเป็นรอยร้าวภายใน พรรคชาติไทยพัฒนา เกิดขึ้นเมื่อกลางปี 2567 เพราะพรรคชาติไทยพัฒนาจะเปิดตัว “อุดม โปร่งฟ้า” อดีตที่ปรึกษา รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ลงสมัครรับเลือกตั้ง นายก อบจ.สุพรรณฯ แทน “บุญชู”
ยกแรกเจรจากันจะลงสมัครอิสระสู้กันเอง แต่สุดท้าย “อุดม” ได้ใช้สัญลักษณ์และโลโก้พรรคชาติไทยพัฒนา เป็นผลให้ “บุญชู” ต้องสมัครอิสระ โดยพกพาแต้มต่อ คือเป็นแชมป์เก่า ลงสู้ศึกครั้งนี้ ภายใต้กองหนุนมี พลพรรคคนเสื้อแดง อดีต นปช. ในนามทีมรบพิเศษจากพรรคเพื่อไทย นำโดย พร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ อดีตโฆษกพรรคเพื่อไทย พายัพ ปั้นเกตุ อดีต สส.บัญชีรายชื่อ วรชัย เหมะ อดีต สส.สมุทรปราการ สมชาย ไพบูลย์
ศึกครั้งนี้ “ตั้ม พร้อมพงศ์” หรือ “เด็จพี่” ที่สื่อเรียกขาน รับบทเป็นประธานที่ปรึกษาให้กับ “บุญชู จันทร์สุวรรณ” แถมยังรับบทบาทดูคนเสื้อแดงภาคกลาง หวังใช้ศึกครั้งนี้เป็นผลงาน เพื่อต่อยอดไปถึงการเลือกตั้งใหญ่ในครั้งหน้าที่ “พร้อมพงศ์” เตรียมพ้นโทษแบนทางการเมือง 10 ปี
ฟากฝั่ง “อุดม” มี ท็อป วราวุธ ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ประภัตร โพธสุธน เลขาธิการพรรคชาติไทยพัฒนา เป็นกองหนุนและร่างทรงให้
สมรภูมินายก อบจ.สุพรรณบุรี รอบนี้ ตระกูล “ศิลปอาชา” จึงถูกมองว่าทำการเมืองท้องถิ่น ให้แตกออกเป็นเสี่ยงๆ ไม่สามารถหลอมรวมฐานเสียงและหัวคะแนนให้เป็นหนึ่งได้เหมือนเช่นที่ผ่านมา
“การเมืองต้องกินแบ่ง ไม่ใช่กินรวบ” เมื่อ “พรรคชาติไทยพัฒนา” ปฏิเสธ “บุญชู” เท่ากับ พรรคปฏิเสธ “กำนันดิน”เพื่อนเก่าของ “บรรหาร”
“การเมืองกินรวบ” ในสายตาฝั่งตรงข้าม “ชาติไทยพัฒนา” กำลังมองว่า “บ้านใหญ่” อย่าง “โพธสุธน”กำลังจะรุกคืบกินรวบไม่เหลือที่ยืนให้ตระกูลการเมืองบ้านใหญ่บ้านเล็กได้เดินต่อ
ยิ่งย้อนไปเมื่อครั้งที่พรรคความหวังใหม่กำลังรุ่งเรือง พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ หัวหน้าพรรคขณะนั้นเกือบจะได้ ตระกูลจันทร์สุวรรณ มาทำการเมืองใน จ.สุพรรณบุรี
แต่ด้วยบารมีของ “พ่อบรรหาร” รู้ข่าว จึงไปรั้งตัว “บุญชู” และคนตระกูลจันทร์สุวรรณให้อยู่กับ พรรคชาติไทยและ พรรคชาติไทยพัฒนาต่อไปได้
ผลเลือกตั้ง สส. รอบล่าสุด เมื่อ 14 พ.ค. 2566 พรรคชาติไทยพัฒนา ได้คะแนน สส.บัญชีรายชื่อ มาเป็นอันดับ 3 คือ 110,046 คะแนน
พรรคก้าวไกล อันดับ 1 ได้ 182,211 คะแนน อันดับ 2 พรรคเพื่อไทย 119,703 คะแนน
ส่วน คะแนน สส.แบบแบ่งเขต ปี 2566 ทั้งหมด 5 เขต พรรคชาติไทยพัฒนา ยังครองความเป็นอันดับ 1 ได้ 227,983 คะแนน อันดับ 2 พรรคก้าวไกล 107,295 คะแนน อันดับ 3 พรรคเพื่อไทย 61,224คะแนน
พรรคชาติไทยพัฒนา ได้ สส.ยกจังหวัด ประกอบด้วย เขต 1 สรชัด สุจิตต์ เขต 2 ณัฐวุฒิ ประเสริฐสุวรรณ เขต 3 นพดล มาตรศรี เขต 4 เสมอกัน เที่ยงธรรม และ เขต 5 ประภัตร โพธสุธน
ฐานเสียง “บุญชู” จะมีพันธมิตรอย่างตระกูล “เที่ยงธรรม” เป็นกองหนุน รวมทั้งจะได้ “ประเสริฐสุวรรณ” มาผนึกกำลังด้วย
ขณะเดียวกันยังได้กระแสฐานเสียงจาก “พรรคเพื่อไทย” แม้จะไม่ได้ใช้โลโก้พรรคลงสมัคร แต่มีหน้า “พร้อมพงศ์”และแกนนำ นปช.สมาชิกพรรคเพื่อไทยเป็นเครื่องการันตี
ขณะที่ “อุดม” แน่นอนว่าฐานเสียง “ศิลปอาชา” จะต้องรวมกับ สส.3 เขตและบ้านใหญ่ “โพธสุธน” เพื่อยึดเก้าอี้ นายก อบจ.สุพรรณฯ มาครองเป็นสมัยแรกให้ “อุดม”
“เอ้ามาด้วยกันเอ้าไปด้วยกัน เลือดสุพรรณของเรานี่เอย” บทเพลงอมตะ “ลูกทุ่งเลือดสุพรรณ” ของ “สุรพล สมบัติเจริญ” ทำท่าจะใช้ไม่ได้กับศึกเลือกตั้ง นายก อบจ.สุพรรณบุรี ปี 2568
ถ้าฝ่าย “อุดม” กินรวบได้ จะเท่ากับเปิดทางให้ “ศิลปอาชา” เจนใหม่ และ “โพธสุธน” ผงาดครองอำนาจการเมืองสุพรรณบุรีต่อได้
แต่ถ้า “บุญชู” ยังรักษาแชมป์ไว้ได้ ถึงขั้นมีการพูดกันว่า “ศิลปอาชา” ในยุคนี้ อาจหมดสิ้นมนต์ขลังและบารมีลง
ที่สำคัญจะเป็นการเปิดทางให้พรรคเพื่อไทยและพรรคประชาชนเป็นตัวสอดแทรกได้มากขึ้นในสนามเลือกตั้งใหญ่ด้วย