ฟ้องเลขา กกต.ไม่ยุบภูมิใจไทย ปมเงินบริจาค ศาลนัดฟังคำสั่ง 3 ก.พ.นี้

'ทนายอั๋น บุรีรัมย์' ยื่นฟ้อง 'แสวง บุญมี' เลขา กกต. กล่าวหาผิด ม.157 หลังลงนามคำสั่งเด็ดขาด ไม่ยุบ 'ภูมิใจไทย' ปมเงินบริจาค กังขาไฉนไม่ยอมเอาคำวินิจฉัยศาล รธน.คดียุบพรรคอนาคตใหม่มาเทียบ เผยศาลนัดฟังคำสั่งความสมบูรณ์ของคำฟ้อง 3 ก.พ.นี้
เมื่อวันที่ 22 ม.ค. 2568 ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง นายภัทรพงศ์ ศุภักษร หรือ "ทนายอั๋น บุรีรัมย์" เดินทางไปยื่นฟ้อง นายแสวง บุญมี เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เป็นจำเลยในความผิด ฐานเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 กรณีลงนามในคำสั่งไม่ยุบพรรคภูมิใจไทย
นายภัทรพงศ์ กล่าวว่า เดินทางมายื่นฟ้องนายแสวง บุญมีเลขาธิการกกตและนายฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง ซึ่งเป็นผู้ลงนามในคำสั่งเด็ดขาดไม่ยุบพรรคภูมิใจไทยต้นขอขยายความอธิบายว่ากรณีที่คนร้องเรียนว่าพรรคภูมิใจไทยต้องถูกยุบนั้นเนื่องมาจากประธานสภาผู้แทนราษฎรได้ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญว่าเป็นสมาชิกภาพของนายศักดิ์สยามชิดชอบ สิ้นสุดลงหรือไม่อย่างไรตามรัฐธรรมนูญ ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ากรณีของนายศักดิ์สยามให้นายศุภวัฒน์ เกษมสุทธิ์ ถือหุ้นแทนมีลักษณะเป็นนอมินี ขณะนั้นนายศักดิ์สยามดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ทำให้ หจก.บุรีเจริญคอนสตรัคชั่น ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญบอกว่า เป็นของนายศักดิ์สยาม ทำให้ได้รับเหมาก่อสร้างงานทำถนนโดยเฉพาะในจังหวัดบุรีรัมย์ 53 โครงการ เป็นเงิน 2,000 ล้านบาท นำสู่ความเป็นสมาชิกภาพของนายศักดิ์สยาม สิ้นสุดลง โดยศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งที่1/2567 ลงวันที่ 17 มกราคม 2567
นายภัทรพงศ์ กล่าวอีกว่า ต่อมาตนจึงไปยื่นร้อง กกต. ขอให้ นายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต. มีคำสั่งยุบพรรคภูมิใจไทยด้วยมูลเหตุดังกล่าว กระทั่งเมื่อช่วงปลายปี 2568 นายแสวง บุญมี ได้มีคำสั่งเด็ดขาด ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง ไม่ส่งเรื่องไปยัง กกต.7 ท่านทำการวินิจฉัย โดยมีเหตุผลว่า ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่า เงินที่ได้มาจากการบริจาคให้พรรคภูมิใจไทย เป็นเงินที่พรรคการเมืองรู้หรือควรจะรู้ว่าเงินที่ได้มาชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
นายภัทรพงศ์ กล่าวด้วยว่า ตนขอเทียบเคียงกรณีที่กกต.สั่งให้ยุบพรรคอนาคตใหม่ เพื่อนำสู่คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 5/2563 สั่งยุบพรรคอนาคตใหม่และตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรคอนาคตใหม่ หนึ่งในนั้นคือนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ สืบเนื่องจากกรณีที่นายธนาธรในฐานะหัวหน้าพรรคการเมืองเอาเงินไปให้พรรคอนาคตใหม่กู้ยืมเงิน 120 ล้านบาท ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยไว้ว่า กฎหมายเขียนในรัฐธรรมนูญมาตรา 72 ห้ามบุคคลองค์กรหรือหน่วยงานบริจาคเงินให้พรรคเกิน 10 ล้านบาท ต่อปี ต่อ 1 คน และบริจาคเพียง 1 บาทก็ไม่ได้หากเงินนั้นเป็นเงินที่ได้มาไม่สุจริต และจะต้องทำอย่างโปร่งใสสามารถตรวจสอบได้ตรงไปตรงมา กรณีของนายธนาธรศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า แม้จะไม่มีกฎหมายห้ามที่จะให้พรรคการเมืองไปกู้ยืมเงินแต่ก็ไม่มีกฎหมายรับรอง โดยตามเจตนารมย์ของกฎหมายต้องการให้การบริจาคเงินให้พรรคการเมืองมีความโปร่งใส ไม่ถูกครอบงำ มีความตรงไปตรงมา
นายภัทรพงศ์ อธิบายว่าเมื่อเอาคำวินิจฉัยคดียุบพรรคอนาคตใหม่มาเทียบเคียงกับกรณีของพรรคภูมิใจไทย ระหว่างปี 2562 ถึงปี 2565 นายศักดิ์สยาม ขายหุ้นออก ก่อนไปดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม โดยในช่วงเวลาดังกล่าวการทำนิติกรรม ธุรกรรมต่างๆ ทำในนามของนายศุภวัฒน์ เกษมสุทธิ์ นั่นหมายความว่า เงินที่ได้รับบริจาคจาก หจก.บุรีเจริญคอนสตรัคชั่น ให้แก่พรรคภูมิใจไทย โดยนายศักดิ์สยามนั่งเป็นเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย มันสุจริตหรือไม่ เทียบกันแล้วมันไม่โปร่งใส หากต้องการบริจาคต้องบริจาคในนามตัวเอง แต่ที่ผ่านมาตามที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยในศุภวัฒน์ทำในนามนายศักดิ์สยาม
ดังนั้นแล้วตนเชื่อว่านายแสวง บุญมี คนระดับเลขาธิการกกต.จะไม่รู้เชียวหรือ เพียงแต่ไม่หยิบเอาคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคอนาคตใหม่ มาเป็นเกณฑ์ในการวินิจฉัย เป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่เพื่อผลประโยชน์ให้แก่พรรคภูมิใจไทยหรือไม่ อย่างไร จึงนำคดีนี้มายื่นฟ้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตฯ เพื่อมีคำพิพากษาต่อไป โดยศาลรับเป็นคดีหมายเลขดำที่ อท18/2568 นัดฟังคำสั่งความสมบูรณ์ของคำฟ้อง วันที่ 3 ก.พ.2568 เวลา 09.00 น. นี้







