กลุ่มต้านทักษิณ ขู่ ชุมนุมยาวทำเนียบ จี้ นายกฯ แก้3ปมร้อน หวั่นซ้ำรอย พ่อ อา

กลุ่มต้านทักษิณ ยื่นหนังสือ "นายกฯ" เรียกเทวดาชั้น 14 กลับคุก ลุ้นคำสั่ง ศาลฎีกา 27 ม.ค.นี้ ขู่ ไม่อยากมีชะตากรรมเหมือนพ่อ -อา ต้องแก้ไข เตรียมยกระดับชุมนุมทำเนียบยาว
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 21 ม.ค.68 ที่ ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ทำเนียบรัฐบาล แกนนำกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมือง นำโดย นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายพิชิต ไชยมงคล นายแพทย์วรงค์ เดชกิจวิกรม นายแก้วสรร อติโพธิ์ นายเจษฎ์ โทณะวณิก นายนิติธร ล้ำเหลือ พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม เดินทางมายื่นหนังสือถึงนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อเรียกร้องต่อนายกรัฐมนตรี ถึงกรณีการพักรักษาตัวที่ ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผ่านศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ทำเนียบรัฐบาล โดยมีนายสมคิด เชื้อคง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมืองเป็นผู้รับหนังสือ บริเวณด้านหน้าทำเนียบรัฐบาล
โดยนายแก้วสรร อติโพธิ นักวิชาการ กล่าวว่า เรื่องชั้น 14 ไม่ใช่เรื่องความขัดแย้งทางการเมือง แต่เป็นเรื่องความถูกต้องของแผ่นดิน ทุกคนต้องเสมอภาคภายใต้กฎหมาย ไม่ว่าจะนามสกุลอะไร การเดินทางมาในวันนี้ หากศาลตัดสินว่าทำผิดต่อสู้คดีแล้ว หลักฐานชัดเจนจะต้องติดคุก การมาเรียกร้องในวันนี้มาเพื่อให้กฎหมายเป็นกฎหมาย ไม่ใช่ละเมิดกฎหมายเสียเอง พร้อมเรียกร้องนายกรัฐมนตรี จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบแม้จะเป็นพ่อ ก็ต้องทำ เพราะตำแหน่ง นายกฯไม่มีพ่อมีแม่ แต่กลับเพิกเฉยมาตลอด ขอให้ใช้อำนาจในฐานะผู้บังคับบัญชาสูงสุดของฝ่ายบริหาร สั่งทุกหน่วยงานตั้งแต่โรงพยาบาลตำรวจ เรือนจำ และกรมราชทัณฑ์ยื่นเอกสารเรียกเวชระเบียนทั้งหมด ให้กับ ปปช. และแพทยสภา และศาลยุติธรรม ซึ่งจะเป็นผู้พิจารณาในสัปดาห์หน้า ถ้าไม่ทำ จะติดเหมือนกับ พ่อและอา ของนายกรัฐมนตรี ข้อหาละเว้นโดยทุจริต พร้อมกับฝากว่า คำว่า นายกรัฐมนตรีทรพีไม่มีอยู่ในพจนานุกรมมีแต่นายกรัฐมนตรี ทรยศประชาชน
ด้านนายแพทย์วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานพรรคไทยภักดี ระบุว่า ต้องการมาสื่อสารโดยตรงถึงนายกรัฐมนตรี ว่าถึงเวลาที่ต้องร่วมรับผิดชอบร่วมกับนักโทษชั้น 14 และขณะนี้ออกมาอาละวาดทั่วประเทศไทย ต้องให้ประชาชนช่วยกันต้อนกลับไปคุก ซึ่งได้นำหลักฐาน มาชี้แจงว่าละครชั้น 14 นั้นไม่เนียน โดยเฉพาะโรงพยาบาลตำรวจอ้างว่าส่งเวชระเบียนมาบางส่วน ทางการแพทย์สรุปได้เลยว่า "ไม่มี" พร้อมกล่าวว่า เวชระเบียนทั้งหมดจะต้องอยู่ในแฟ้มเดียวกัน หากใช้ระบบคอมพิวเตอร์จะต้องอยู่ในไฟล์เดียวกันทั้งหมด ไม่สามารถแยกส่วนได้ และในฐานะนายกรัฐมนตรีจะต้องลงมาจัดการเรื่องนี้ ก่อนที่จะสายเกินไป และมองว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรม อย่าเอาพ่อมาอ้าง หากกังวลเรื่องพ่อ แล้วไม่ดูแลเรื่องกระบวนการยุติธรรม ขอให้ออกไป และนี่คือเสียงเล็กๆจากประชาชน ว่าให้นายกรัฐมนตรีออกไป และหากยังไม่จัดการจะเจอกับเหตุการณ์ที่ใหญ่กว่านี้
ขณะนายแพทย์ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ กล่าวว่า การที่นายทักษิณไม่ติดคุกแม้แต่วันเดียวเป็นการขัดพระบรมราชโองการ และยังขัดต่อคำพิพากษาของศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จึงอยากส่งเสียงไปยังที่ประชุมศาลฎีกาให้เรียกนายทักษิณ กลับมาติดคุก การที่นายทักษิณไม่ติดคุกเชื่อว่ามีกระบวนการร่วมมือกัน และไม่ได้เริ่มตั้งแต่ 22 สิงหาคม แต่เริ่มตั้งแต่สมัยนายสมศักดิ์ เทพสุทิน เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม มีการตกลงและเตรียมการจัดฉาก หลอกประชาชนทั้งประเทศ พร้อมกับมองว่าขณะนั้นเองมีการแก้ไขกฎกระทรวงหลายฉบับ เพื่อช่วยนายทักษิณ และปัจจุบันนายสมศักดิ์ เป็นสภานายกพิเศษแพทยสภา ซึ่งหากรายงานผลการสอบของแพทยสภาแล้ว นายสมศักดิ์คัดค้าน ก็พร้อมที่จะฟ้องมาตรา 157 อย่างแน่นอน และมีการตั้งข้อสังเกตถึงการพักรักษาตัวยังห้องพิเศษ หากป่วยวิกฤติจริงควรพักรักษาตัวยังห้องไอซียูจึงจะเนียนกว่า
ด้านนายเจษฎ์ โทณะวณิก นักวิขาการ ยังถามหาความรับผิดชอบจากรัฐบาลคสช. พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี ว่าอยู่ที่ใด คสช.ทั้งหลายมีกี่คน แล้วให้ประชาชนมารับผิดชอบ ขณะเดียวกันยังกล่าวถึง นายวิษณุ เครืองาม ที่เห็นปรากฏตัวที่เป็นที่กรมราชทัณฑ์แล้วสุดท้ายนายทักษิณ ก็หายตัวไปจากพื้นที่กรมราชทัณฑ์ไปปรากฏตัวที่ชั้น 14 ความรับผิดชอบของอดีต คสช.อยู่ที่ใด
ขณะเดียวกันพรรคเพื่อไทย ไม่ได้ชนะการเลือกตั้ง แต่พรรคก้าวไกลชนะการเลือกตั้งแล้ว มันมีกลไกช่วยกัน ถีบหัวพรรคก้าวไกล คนเหล่านั้นรับผิดชอบอะไรบ้าง ส่วนเรื่องคาสิโนพรรคเหล่านี้จะรับผิดชอบอะไรบ้างหรือไม่ ไม่มีบ้านเมืองไหน ถ้าไม่สิ้นคิดจะเปิดกาสิโน ตนจึงอยากถามหา ความรับผิดชอบต้องถามพรรคร่วมรัฐบาล พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ต้องดูว่าร่วมรัฐบาลอยู่หรือไม่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล /นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค นายวราวุธ ศิลปอาชา และใครต่อใคร คนเหล่านี้ไม่รับผิดชอบต่อบ้านเมืองเลยหรือ พร้อมเสนอหากประชาธิปไตยเป็นเช่นนี้ ตนขอเสนอเลิกประชาธิปไตย
ด้านนายจตุพร กล่าวว่า เรื่องที่ดินอัลไพน์มีกระบวนการตั้งแต่การจัดซื้อ โดยตั้งข้อสังเกตว่า กลุ่มกระบวนการยกภายหลังยกกันเข้าพรรค การที่นายทักษิณออกมากล่าวอ้างมาได้มาโดยสุจริตขอตั้งคำถามว่าไม่รู้จริงๆหรือว่สเป็นที่ดินของวัด อย่าหวังว่าจะได้เงินชดเชยแม้แต่บาทเดียว ขณะเดียวกันยังตั้งข้อสังเกตถึงการตั้งกาสิโน ว่าผู้ถือที่ทำธุรกิจส่วนใหญ่ถือ 2 สัญชาติ มีความใกล้ชิด และท้ายที่สุด ก็จะจบแบบสุดซอย ขณะเดียวกัน ยังชวนจับตาคำพิพากษาของศาลฎีกาในวันที่ 27 มกราคมนี้ หลังจากที่มีการยื่นถึง 3 ครั้ง พร้อมกับกล่าวทิ้งท้ายว่า ถ้าอยากจะหนีเหมือนพ่อเหมือนอาก็ทำต่อไป แต่หากคิดจะอยู่แผ่นดินไทยต่อ ก็อย่าได้ทำเหมือนสิ่งที่เคยทำมา
อย่างไรก็ตามข้อเสนอของทางกลุ่มได้อ่านข้อเรียกร้องคือ
1. ข้อมูลและพยานหลักฐานสำคัญในคดี คือบรรดาเวชระเบียนที่เกี่ยวข้องทั้งหมดตามที่แพทยสภาได้ขอไว้ ทั้งที่อยู่ในครอบครองของฝ่ายราชทัณฑ์และโรงพยาบาลตำรวจ และที่สำคัญที่สุดคืดคือคำรับรองทางการแพทย์ ว่านักโทษมีอาการป่วยหนัก และฝ่ายแพท์ของเรือนจำไม่มีขีดความสามารถรักษาพยาบาลได้ ทั้งที่รับรองไว้ในชั้นส่งตัว รับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาลตำรวจ และในชั้นประกอบรายงานต่อผู้บังคับบัญชาในกระทรวงยุติธรรม ที่ยืนยันให้นักโทษอยู่โรงพยาบาลต่อไป เมื่อครบ 30 วัน, 60 วัน และ 120 วัน
2. คดีบริหารกระบวนการบังคับโทษครั้งนี้เกิดขึ้นในราชการฝ่ายบริหารทั้งสิ้น เป็นคดีสำคัญที่กระทบถึงความเชื่อถือต่อกระบวนการยุติธรรมไทย ทั้งในหมู่ประชาชนและนานาประเทศเป็นอย่างยิ่ง และ ถือเป็นอำนาจหน้าที่โดยตรงของฝ่ายบริหารอยู่แล้ว ที่ต้องสะสางคดีนี้ ที่ทำได้ทั้ง สอบสวน ลงโทษ และแก้ไขคือให้กรมราชทัณฑ์ ร้องต่อศาลให้ออกหมายขังใหม่ แต่กลับไม่มีผู้ใด สนใจรับผิดชอบสะสางคดีเลย จนทั้ง ป.ป.ช. และแพทยสภา ต้องเข้ามาคลี่คลายเสียเองในที่สุด
โดยช่วงท้ายของหนังสือ ยังได้ขอนายกรัฐมนตรีแยกแยะระหว่างความสัมพันธ์ส่วนตนกับนายทักษิณ กับการปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่จะต้องรักษาไว้ซึ่งความถูกต้องของหัวหน้าฝ่ายบริหาร
อย่างไรก็ตามผู้สื่อข่าวรายงานว่าทางกลุ่มจะเดินทางมายังทำเนียบรัฐบาลอีกครั้งในวันที่ 25 มกราคม เพื่อยื่นคัดค้านเรื่องการสร้างบ่อนกาสิโน
ต่อมา 11.30 น. ที่ประตู 4 ทำเนียบนายสมคิด เชื้อคง รัฐบาลรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ได้ออกมารับหนังสือจาก กลุ่มแกนนำ โดยใจความหนังสือระบุว่า เรื่อง ขอให้ใช้อำนาจนายกรัฐมนตรี ร่วมสะสางคดีบริหารกระบวนการบังคับโทษ นายทักษิณ ชินวัตร ให้เป็นที่ยุติ
เรียน นายกรัฐมนตรี ด้วยข้าพเจ้าผู้มีทั้งหมด ที่มีรายชื่อในเอกสาร เห็นพ้องร่วมกันว่า การสอบสวนคดีบริหารกระบวนการบังคับ
โทษ นายทักษิณ ชินวัตร ทั้งโดย ป.ป.ช. และแพทยสภาในปัจจุบัน ไม่ได้รับความร่วมมือในการให้ข้อมูล จากเจ้าหน้าที่ในสังกัดกรมราชทัณฑ์และโรงพยาบาลตำรวจเช่นที่ควร กรณีจึงจำเป็นต้องใช้อำนาจนายกรัฐมนตรีอันเป็น อำนาจบังคับบัญชาสูงสุด สั่งการเจ้าหน้าที่ให้ให้ความร่วมมือในการสอบสวนครั้งนี้โดยด่วนด้วย ดังเหตุผลโดยลำดับ ดังนี้
1.ข้อมูลและพยานหลักฐานสำคัญในคดี คือบรรดาเวชระเบียนที่เกี่ยวข้องทั้งหมดตามที่แพทยสภาได้ขอไว้ ทั้ง
ที่อยู่ในครอบครองของฝ่ายราชทัณฑ์และโรงพยาบาลตำรวจ และที่สำคัญที่สุดคือคำรับรองทางการแพทย์
ว่านักโทษมีอาการป่วยหนัก และฝ้ายแพทย์ของเรือนจำไม่มีขีดความสามารถรักษาพยาบาลได้ ทั้งที่รับรอง ไว้ในชั้นส่งตัวรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาลตำรวจ และในชั้นประกอบรายงานต่อผู้บังคับบัญชาในกระทรวง ยุติธรรม ที่ยืนยันให้นักโทษอยู่โรงพยาบาลต่อไป เมื่อครบ 30 วัน, 60 วัน และ 120 วัน
2.คดีบริหารกระบวนการบังคับโทษครั้งนี้เกิดขึ้นในราชการฝ่ายบริหารทั้งสิ้น เป็นคดีสำคัญที่กระทบถึงความเชื่อถือต่อกระบวนการยุติธรรมไทย ทั้งในหมู่ประชาชนและนานาประเทศเป็นอย่างยิ่ง และ อันที่จริงนั้นก็เป็นอำนาจหน้าที่โดยตรงของฝ่ายบริหารอยู่แล้วที่ต้องสะสางคดีนี้ ที่ทำได้ทั้ง สอบสวน ลงโทษ และแก้ไข
คือให้กรมราชทัณฑ์ร้องต่อศาลให้ออกหมายขังใหม่ แต่กลับไม่มีผู้ใดแม้แต่ตัว ฯพณฯ เอง สนใจรับผิดชอบ
สะสางคดีเลย จนทั้ง ป.ป.ช. และแพทยสภา ต้องเข้ามาคลี่คลายเสียเองในที่สุด
ทั้งนี้ขอนายกรัฐมนตรีแยกแยะระหว่างความสัมพันธ์ส่วนตนกับนายทักษิณ กับการปฏิบัติหน้าที่ใน
ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่จะต้องรักษาไว้ซึ่งความถูกต้องของหัวหน้าผ้าผ้าฝาฝายบริหาร ลงชื่อนายแก้วสรร อติโพธิ
ทั้งนี้ได้มีกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจจากชุดควบคุมฝูงชน จำนวน 3 กองร้อย ได้มาดูแลความ สะดวก เรียบร้อย ให้กับกลุ่มผู้ชุมนุม