'ณัฐพงษ์' ร่วมยินดี นับถอยหลังไทยประกาศใช้ 'สมรสเท่าเทียม' 23 ม.ค.

'ณัฐพงษ์' ร่วมแสดงความยินดี นับถอยหลังประกาศใช้กฎหมาย 'สมรสเท่าเทียม' 23 ม.ค.นี้ หลังผลักดันต่อสู้มายาวนานตั้งแต่ยุคอนาคตใหม่-ก้าวไกล ชี้เป็นตัวอย่างชัดการรวมพลังของประชาชน-พรรคการเมือง-สภาฯ
เมื่อวันที่ 20 ม.ค. 2568 พรรคประชาชน (ปชน.) โพสต์คลิปวีดีโอของนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรค ปชน.ที่ร่วมแสดงความยินดีที่ไทยจะประกาศใช้กฎหมาย "สมรสเท่าเทียม" ในวันที่ 23 ม.ค.นี้ หลังจากผลักดันมาตั้งแต่สมัยพรรคอนาคตใหม่ และพรรคก้าวไกล ว่า ในวันที่ 23 ม.ค. 2568 จะเป็นอีกวันสำคัญในประวัติศาสตร์ไทย คือวันที่ทุกคนไม่ว่าเพศใด จดทะเบียนสมรสกันได้อย่างเท่าเทียมเสมอภาค
นายณัฐพงษ์ ระบุว่า กฎหมายสมรสเท่าเทียม คือตัวอย่างที่ชัดเจนของการร่วมมือของ 3 พลัง พลังจากภาคประชาชน พลังจากพรรคการเมือง และพลังจากผู้แทนราษฎร ที่ช่วยกันเคลื่อนไหวรณรงค์จนทำให้การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้จริง แม้คู่สมรสที่จดทะเบียนหลังจากกฎหมายสมรสเท่าเทียมมีผลบังคับใช้ จะมีสิทธิ์และผลผูกพันเสมอภาคกันตามกฎหมายอื่นๆ แต่ในทางปฏิบัติจะมีปัญหาหรือข้อติดขัดใดหรือไม่ พรรคประชาชนจะร่วมติดตามและแก้ไขปัญหาให้ทุกท่านต่อไป
"ตั้งแต่อนาคตใหม่ ก้าวไกล มาถึงพรรคประชาชน เราจะยังมุ่งมั่นผลักดันวาระที่ก้าวหน้าและเป็นประโยชน์ต่อประชาชน เพื่อเปลี่ยนประเด็นที่บางคนบอกว่าเป็นไปไม่ได้ในสังคมไทย ให้เป็นประเด็นที่ทุกคนปฏิเสธไม่ได้" นายณัฐพงษ์ ระบุ
ดูคลิปวีดีโอ: คลิกที่นี่
อนึ่ง ค่ำวานนี้ (19 ม.ค.) ที่ Sol Bar & Bistro อาคารอนาคตใหม่ พรรคประชาชนจัดกิจกรรม “Save the date: มากกว่ารัก คือสิทธิที่เท่าเทียมกัน” เพื่อร่วมเฉลิมฉลองให้กับความรักของทุกคนซึ่งกำลังจะได้รับสิทธิที่เท่าเทียมกัน นับถอยหลังก่อนกฎหมาย “สมรสเท่าเทียม” มีผลบังคับใช้ทั่วประเทศในวันพฤหัสบดีที่ 23 ม.ค.นี้ ท่ามกลางบรรยากาศแห่งแสงสีที่สุดแสนจะชื่นมื่น ยินดี
โดยในช่วงหนึ่งของกิจกรรมเป็นการเปิดวงพูดคุยสรุปเนื้อหาและสิทธิต่างๆ ที่คู่สมรสจะได้รับจากกฎหมายสมรสเท่าเทียม พร้อมกล่าวถึงประเด็นอื่นๆ ที่ต้องร่วมกันผลักดันต่อหลังจากกฎหมายสมรสเท่าเทียมมีผลบังคับใช้แล้ว โดยมี ธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน, เอกราช อุดมอำนวย สส.กรุงเทพฯ พรรคประชาชน, ณธีภัสร์ กุลเศรษฐสิทธิ์ กรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียม, และกิตตินันท์ ธรมธัช นายกสมาคมฟ้าสีรุ้ง ร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลกับประชาชนที่มาร่วมกิจกรรม
กิตตินันท์ ธรมธัช หรือ “พี่แดนนี่” ได้เล่าย้อนถึงประวัติศาสตร์และเส้นทางการต่อสู้ของสมรสเท่าเทียมในประเทศไทย ซึ่งเริ่มจากการขับเคลื่อนโดยภาคประชาสังคมมาตั้งแต่ช่วงปี 2545 หลังจากที่เนเธอร์แลนด์ผ่านกฎหมายสมรสเท่าเทียมเป็นประเทศแรกในโลกได้ไม่นาน ต้องผ่านทั้งเหตุการณ์ความผันผวนทางการเมืองไทย ผ่านการต่อสู้ทางความคิดในสังคมมาหลายยุคหลายสมัย ซึ่งมีทั้งแรงสนับสนุนและแรงต้าน
รวมถึงการถกเถียงว่าการแต่งงานกันของบุคคลผู้มีความหลากหลายทางเพศ ควรร่างกฎหมายใหม่แยกออกมาจากคู่ชาย-หญิงทั่วไป เป็น “กฎหมายคู่ชีวิต” หรือควรเกิดจากการแก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เพื่อปรับแก้การแต่งงานจากชาย-หญิงเป็น “คู่สมรส” ปรับแก้สามี-ภรรยาเป็น “บุพการี” และทำให้การแต่งงานของคู่รักทุกคู่เท่าเทียมกันผ่านกฎหมาย “สมรสเท่าเทียม”
กิตตินันท์ กล่าวว่า ต้องยอมรับว่าพรรคอนาคตใหม่เป็นผู้จุดกระแสสมรสเท่าเทียมให้เกิดขึ้นในช่วงการเลือกตั้งปี 2562 ทำการรณรงค์ทางการเมืองทั้งออฟไลน์และออนไลน์จนทำให้คนในสังคมเห็นพ้องต้องกันว่าประเทศไทยถึงเวลาต้องมีกฎหมายฉบับนี้ได้แล้ว และเพื่อสิทธิที่เท่าเทียมกัน เราจำเป็นต้องมีกฎหมาย “สมรสเท่าเทียม” ผ่านการแก้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ไม่ใช่ “กฎหมายคู่ชีวิต” ที่แยกออกมาจากคู่ชาย-หญิงอื่นๆ
จนสุดท้ายหลังการเลือกตั้งปี 2566 ทั้งพรรคการเมืองและภาคประชาสังคมต่างเห็นร่วมกันในการผลักดันกฎหมายสมรสเท่าเทียมเข้าสู่สภาฯ จนผ่านออกมาเป็นกฎหมายสมรสเท่าเทียมที่มีคุณภาพ เป็นประเทศแรกในอาเซียน และยังถือว่าเป็นประเทศแรกในเอเชียที่มีกฎหมายสมรสเท่าเทียมที่สมบูรณ์แบบ (Marriage Equality) ไม่ใช่จากคำสั่งชั่วคราวของศาลหรือเป็นกฎหมายคู่ชีวิตเหมือนกับในหลายประเทศ
ส่วนธัญวัจน์ หรือ “ครูธัญ” กล่าวว่า ต้องขอแสดงความยินดีกับคู่รักทุกคนที่จะสามารถแต่งงานได้อย่างเท่าเทียมกันในวันที่ 23 ม.ค. นี้ แต่ถึงแม้กฎหมายจะผ่านแล้ว ยังมีอีกหลายประเด็นที่เราต้องช่วยกันขับเคลื่อนและผลักดันต่อ โดยคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียมได้มีข้อสังเกต 4 ข้อที่ต้องเร่งจัดทำรายงานให้แล้วเสร็จภายใน 180 วันหลังกฎหมายมีผลบังคับใช้ เพื่อเสนอให้คณะรัฐมนตรีนำพิจารณาต่อ ได้แก่
(1) การแก้ไขกฎหมายเรื่องอัตลักษณ์และการรับรองเพศ
(2) การแก้ไขกฎหมายเรื่องเทคโนโลยีเจริญพันธุ์
(3) การแก้ไขประมวลกฎหมายอาญาเรื่องความผิดทางเพศ
(4) การสร้างความรู้ความเข้าใจเรื่องความหลากหลายทางเพศ
ในส่วนของข้อสังเกตประเด็นแรก ธัญวัจน์ กล่าวว่า อัตลักษณ์ทางเพศคือสิทธิมนุษยชน คือเจตจำนงที่ทุกคนมีสิทธิในการกำหนดเพศและคำนำหน้านามของตนเองได้ (Self-determination) ดังนั้น หลังจากกฎหมายสมรสเท่าเทียมผ่านแล้ว พรรคประชาชนจะผลักดันกฎหมาย “คำนำหน้าตามสมัครใจ” ในลำดับต่อไป ซึ่งมั่นใจว่าไม่ใช่เรื่องง่าย และต้องอาศัยการทำงานทางความคิดกับสังคมอีกมาก แม้แต่ในคณะกรรมาธิการเองหลายคนก็ไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ เพราะกังวลเรื่องความสับสนและการหลอกลวงทางเพศ
ธัญวัจน์ ย้ำว่า ความรักไม่มีการแบ่งแยกเพศ เราคบกับใคร พูดคุยกับใคร ทุกคนต้องรู้กันอยู่แล้วว่าแต่ละฝ่ายเป็นเพศอะไร แสดงอัตลักษณ์แบบใด ส่วนข้อกังวลเรื่องการหลอกลวงนั้นก็มีกฎหมายอื่นๆ ดูแลอยู่แล้วเช่นเดียวกับการคุ้มครองคู่ชาย-หญิง ถ้าเกิดมีหลักฐานว่าคู่สมรสของเราไม่เปิดเผยอัตลักษณ์ทางเพศ หรือจงใจทำให้เข้าใจผิด ก็สามารถฟ้องร้องได้ตามกฎหมาย
“อัตลักษณ์ทางเพศคือสิทธิมนุษยชน คือเจตจำนงที่คุณแสดงออกมา รัฐจึงต้องดูแลและปกป้อง รู้ว่าการผลักดันเรื่องนี้ไม่ง่าย ขอให้สังคมช่วยกันติดตามว่าฝ่ายรัฐบาลจะมีท่าทีอย่างไรต่อเรื่องนี้” ธัญวัจน์ กล่าว
ส่วนข้อสังเกตประเด็นที่สอง การแก้ไขกฎหมายเรื่องเทคโนโลยีเจริญพันธุ์ ณธีภัสร์ กล่าวว่า คู่รักผู้มีความหลากหลายทางเพศก็ต้องการสร้างครอบครัวเช่นเดียวกับคู่รักชายหญิง ถึงแม้กฎหมายสมรสเท่าเทียมจะเปิดให้สามารถรับบุตรบุญธรรมได้แล้ว แต่กฎหมายเรื่องเทคโนโลยีเจริญพันธุ์ก็ควรต้องได้รับการแก้ไขให้รองรับเช่นกัน เช่น การอุ้มบุญของคู่รักผู้มีความหลากหลายทางเพศ ซึ่งส่วนนี้กระทรวงสาธารณสุขได้รับทราบรายละเอียดแล้ว น่าจะเกิดการแก้ไขกฎหมายได้เร็วๆ นี้
ในประเด็นนี้ ธัญวัจน์ เสริมว่า การแก้ไขกฎหมายต้องระมัดระวังไม่ให้เกิดปัญหาการรับจ้างตั้งครรภ์ของผู้หญิง เพราะต่อให้เจ้าตัวบอกว่าสมัครใจ แต่อาจจะไม่ได้สมัครใจจริงๆ เพราะต้องทำเพื่อเงินในการดำรงชีวิต จนกลายเป็นหนึ่งในขบวนการค้ามนุษย์ ดังนั้นในการเดินหน้าแก้ไขกฎหมาย ต้องตัดวงจรและปิดช่องโหว่ในส่วนนี้ให้หมดสิ้น เพื่อทำให้เทคโนโลยีการเจริญพันธุ์เป็นเรื่องของมนุษยธรรม ไม่ใช่การพาณิชย์และการทำกำไร
ส่วนข้อสังเกตประเด็นที่สาม การแก้ไขประมวลกฎหมายอาญาเรื่องความผิดทางเพศ กิตตินันท์ กล่าวว่า เป็นเรื่องที่สำคัญมากเช่นกัน เพราะกฎหมายปัจจุบันยังไม่เท่าทันการกระทำความผิดต่อบุคคลผู้มีความหลากหลายทางเพศ เช่น หากทรานส์เจนเดอร์ถูกข่มขืน คดีอาจเหลือแค่การอนาจาร เพราะบทบัญญัติกฎหมายยังไม่รองรับถึงอวัยวะเพศที่เปลี่ยนแปลงไป นี่จึงเป็นอีกหนึ่งร่างกฎหมายที่พรรคประชาชนและภาคประชาชนกำลังผลักดันแก้ไข รวมถึงต้องปรับปรุงบทบัญญัติเรื่องการล่วงละเมิดทางเพศ การคุกคามทางเพศ การสะกดรอยตาม (Stalker) และการคุ้มครองผู้เสียหายให้สอดรับกับความหลากหลายทางเพศด้วย
ส่วนข้อสังเกตประเด็นสุดท้าย การสร้างความรู้ความเข้าใจเรื่องความหลากหลายทางเพศ ณธีภัสร์ กล่าวว่า กฎหมายสมรสเท่าเทียมผ่านได้ เพราะสังคมมีวิวัฒนาการ ยอมรับ และรับรู้ตัวตนของผู้มีความหลากหลายทางเพศมากขึ้น แต่การทำงานทางความคิดเหล่านี้ยังไม่สิ้นสุด และต้องทำต่อไป เช่นเรื่องความเข้าใจของเจ้าหน้าที่รัฐในการปฏิบัติต่อผู้มีความหลากหลายทางเพศ ก็คงต้องให้เวลาในการปรับตัว เช่นในการทำบัตรประชาชนหรือการเปลี่ยนชื่อ ที่ผ่านมาผู้มีความหลากหลายทางเพศก็มักจะโดนแซวว่าชื่อไม่ตรงกับรูปลักษณ์บ้าง ไปแปลงเพศมาหรือยังบ้าง ซึ่งก็หวังว่าภาครัฐจะให้ความสำคัญ จัดหลักสูตรฝึกอบรมเจ้าหน้าที่รัฐเพื่อทลายอคติทางเพศ
กิตตินันท์ กล่าวด้วยว่า กฎหมายกับการเลือกปฏิบัติเป็นคนละส่วนกัน แม้จะมีกฎหมายแล้ว แต่จะมั่นใจได้อย่างไรว่าพ่อแม่จะไม่บังคับให้ลูกที่เป็นเกย์ไปแต่งงานกับผู้หญิง จะมั่นใจได้อย่างไรว่าบริษัทจะไม่เลือกปฏิบัติในการรับผู้มีความหลากหลายทางเพศเข้าทำงาน ดังนั้น ถึงแม้กฎหมายสมรสเท่าเทียมจะผ่านแล้ว ภาคประชาสังคมต้องช่วยกันผลักดันและทำงานทางความคิดกับสังคมต่อไป ให้กฎหมาย สิทธิมนุษยชน และการยอมรับเดินทางไปพร้อมกันได้







