คิกออฟ 'อาชญากรรมข้ามไทย' ทบ.ขึงรั้วชายแดน ชงแผน ครม.

คิกออฟ 'อาชญากรรมข้ามไทย'  ทบ.ขึงรั้วชายแดน ชงแผน ครม.

6 เดือนวัดเคพีไอ "ผบ.ทบ."ปูแผนสางปัญหาอาชญากรรมชายแดน ผุดหน่วยเฉพาะกิจโดรน เพิ่มกำลังจุดเสี่ยง4กองร้อย ปรับแผนดูแล3จชต.

KEY

POINTS

  • ผบ.ทบ. เตรียมเสนอแผนดูแลชายแดนในที่ประชุม 30 ม.ค.นี้หาก รัฐบาล-ภูมิธรรม เห็นชอบเริ่มปฏิบัติงานได้ทันที
  • แนวทางปฏิบัติปราบยาเสพติดเน้นจับเป็นหวังขยายผล หากต่อสู้ยึดกฎการปะทะ
  • ปัญหาคอลเซ็นเตอร์ กองทัพไม่มีหน้าที่ดึงผู้ที่สมัครใจเดินทางไปกลับ ยกเว้นได้รับการประสานเป็นกรณี 

พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผบ.ทบ. สั่งจัดทำแผนการบริหารจัดการปัญหาชายแดนรอบด้านติดกับประเทศเพื่อนบ้านจากเหนือจรดใต้ รับนโยบายรัฐบาล 

หลัง ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯและรมว.กลาโหม เตรียมคิกออฟการสกัด ปราบปราม ยาเสพติด ค้ามนุษย์ แก็งคอลเซ็นเตอร์ แรงงานต่างด้าว เริ่ม 1 ก.พ.นี้ ขีดเส้น 6 เดือน หากไม่เห็นผล ปรับย้ายข้าราชการ ทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง ออกจากพื้นที่

ปัญหาการกระทบกระทั่งกับประเทศเพื่อนบ้าน กองกำลังชนกลุ่มน้อย กรณีพื้นที่ยังมีข้อพิพาทปักปันเขตแดนไม่แล้วเสร็จ ผบ.ทบ.สั่งเก็บข้อมูลเชิงลึก จุดเพ่งเล็ง ที่มีปัญหาบ่อยครั้ง

ประสานไปยังกระทรวงการต่างประเทศ เดินหน้าเจรจาในกรอบเวทีต่าง ๆ ให้ดำเนินการในประเด็นที่สามารถทำได้ เพื่อให้เกิดความชัดเจน พื้นที่ที่อยู่ระหว่างปักปันเขตแดนตามเอ็มโอยู กำหนดให้ต่างฝ่ายต่างถอยร่น

การแก้ไขปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตามที่ ภูมิธรรม ได้ให้ข้อเสนอต้องปรับเปลี่ยนวิธีการปฏิบัติงาน อุดข้อบกพร่อง ภายหลังลงพื้นที่ 2 ครั้งของ ผบ.ทบ.กำชับการบูรณาการทำงานระหว่าง ทหาร ตำรวจ อาสาสมัคร ให้ครอบคลุม

ในส่วนของทหาร ตำรวจ ยังไม่พบปัญหา แต่ที่ต้องระมัดระวัง อาสาสมัคร หรือ กองกำลังประจำถิ่น เพราะผ่านการฝึกเพียงรุ่นเดียว ยังเหลืออีกหลายรุ่น ต้องพยายามฝึกฝนให้มีขีดความสามารถ

ส่วนมาตรการปฏิบัติการ ปัจจุบันเน้นเชิงรับ คือเฝ้าระวังป้องกัน มาตรการเชิงรุก จะกระทำต่อเมื่อมีการข่าวชัดเจน ต่างกับก่อนหน้านั้นเน้นมาตรการเชิกรุก สุ่มปิดล้อมตรวจค้น เป็นการกวนน้ำให้ขุ่น ถูกโจมตีละเมิดสิทธิประชาชน

ผบ.ทบ.อยู่ระหว่างประเมินต้องเพิ่มมาตรการเชิงรุกแต่ละพื้นที่ ให้สอดรับสถานการณ์ปัจจุบัน แม้สถิติเหตุการณ์น้อยลง แต่เป็นการกระทำต่อเจ้าหน้าที่รัฐเป็นส่วนใหญ่

โดยมีการแบ่งพื้นที่ เขตชุมชน เป็นหน้าที่ของตำรวจ บริเวณรอบนอก เป็นหน้าที่ของทหาร ในหมู่บ้าน เป็นของฝ่ายปกครอง กองกำลังประจำถิ่น เพราะเป็นคนในพื้นที่

สำหรับเป้าหมายในปี 2570 จะถอนกำลังนอกพื้นที่ทั้งหมด ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ 3 กรม คือ ทหารพราน จากทัพภาค 1 กองทัพภาค 2 และกองทัพภาค  3 แต่หากไม่เป็นไปตามแผน ก็ต้องพิจารณาใหม่จะต้องถอนกำลังหรือไม่

ขณะเดียวกัน สภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) อยู่ระหว่าง ร่างกฎหมายใหม่รองรับการปฏิบัติงานเจ้าหน้าที่ เพราะอนาคตจังหวัดชายแดนใต้ รวมถึงชายแดนด้านอื่นๆ ปลอดทั้ง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และกฎอัยการศึก

ปัจจุบันร่างกฎหมายฉบับใหม่ ถูกออกแบบคล้ายคลึงกับการบังคับใช้กฎหมายปกติ มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นหลัก จับกุม ควบคุมตัว สืบสวนสอบสวน ทหารเป็นผู้ช่วยเจ้าพนักงาน แต่ยังยึดรูปแบบ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน บางมาตรการมีทั้งเบากว่าและหนักกว่า

เช่น การควบคุมตัว ปัจจุบันบางพื้นที่ใช้กฎหมาย 3 ฉบับ ในการควบคุมตัว 7 วันได้ 3 ครั้ง แต่ในร่าง กฎหมายฉบับใหม่ กำลังพิจารณาเป็น 3วัน หรือ 7วัน ยังไม่ได้ข้อสรุป

เรื่องการต่างประเทศเป็นหน้าที่ของ สมช. ส่วนการจัดตั้งคณะพูดคุย ยังไม่ดำเนินการ เนื่องจากรัฐบาลขอดูสถานการณ์ มีความจริงใจ ใช่ตัวจริงหรือไม่ อาจต้องใช้เวลาอีกระยะในการประเมิน หากไม่ชัดเจนจะเสียงงบประมาณเปล่าประโยชน์

การสกัดปราบปราม สิ่งผิดกฎหมาย ตามแนวชายแดน ผบ.ทบ. ทำหนังสือขออนุมัติถึงกระทรวงกลาโหมและรัฐบาล ของบประมาณรองรับ จัดกำลังพลเพิ่มเติมในจุดล่อแหลม ช่องทางเข้าออกตามธรรมชาติ จุดละ 4 กองร้อย และเครื่องมือพิเศษ

แนวทางปฏิบัติ หากเป็นไปได้จับเป็นต้องขยายผลการสืบสวน ยกเว้นกรณีปะทะ อาจมีบาดเจ็บสูญเสีย เพราะอีกฝ่ายมีอาวุธสงคราม โดยเฉพาะภาคเหนือ ส่วนใหญ่ไม่ได้จับเป็น เพราะพื้นที่ป่าเขา

ทั้งนี้หากเล็ดลอดจากชายแดน มีทหารที่อยู่รอบใน กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) มณฑลทหารบก(มทบ.) หน่วยข่าวกองทัพบก

กรณีเข้าพื้นที่ตอนใน เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ปปส. ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ ซึ่งทางรัฐบาลอยากให้ ปปส. บูรณาการการทำงาน โดยมีการตั้งศูนย์ เพื่อให้มีการแลกเปลี่ยนงานด้านข่าวกัน ปิดจุดอ่อนซึ่งกันและกัน

การประเมินผล(เคพีไอ) ปัจจุบันกองทัพบก มีการดำเนินการอยู่แล้วโดยใช้ นักวิชาการจากมหาวิทยาลัย เป็นผู้จัดทำและประเมินผลการปฏิบัติงานแต่ละพื้นที่นำไปชี้แจงต่อรัฐสภาในทุกปี

ส่วนปัญหาคอลเซ็นเตอร์ ต้องยอมรับว่ากองทัพไม่มีหน้าที่ดึงผู้ที่สมัครใจเดินทางไปกลับมา ยกเว้นได้รับการประสานเป็นกรณี เช่น ศรีลังกา ประสานให้ช่วยนำคนออกมาจากพื้นที่

นอกจากนี้ ผบ.ทบ.มีแผนการจัดตั้งศูนย์ อากาศยานไร้คนขับ(โดรน)กองทัพบก ในเดือนเมษายนนี้ อยู่ในรูปแบบหน่วยเฉพาะกิจไปก่อน และขยายไปยังกองทัพภาค ไปถึงระดับกองพล

ตามโครงสร้าง 1 กองพล จะมี 1 กองร้อยโดรน ประกอบไปด้วย 3 หมวด โดรนลาดตระเวน โดรนโจมตี โดรนลำเลียง ปัจจุบันจัดตั้งได้ 2 กองร้อย ส่วนที่เหลืออยู่ระหว่างเลือกแบบจัดซื้อ

แผนงานทั้งหมดนี้ ผบ.ทบ. เตรียมเสนอในที่ประชุมวันที่ 30 ม.ค.นี้หาก“รัฐบาล-ภูมิธรรม” เห็นชอบกองทัพเริ่มปฏิบัติงานได้ทันที โดยปักหมุด 6 เดือนต้องเห็นผล เพราะมีตำแหน่งผู้ปฏิบัติงานเป็นเดิมพัน 

ขณะที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. เพิ่งประชุมกองบัญชาการตำรวจนครบาล เพื่อติดตามความคืบหน้าคดีสำคัญในพื้นที่ 15 ม.ค.ที่ผ่านมา โดยเร่งรัด กวาดล้างดำเนินการตามกฎหมายให้ถึงที่สุด และเตรียมเรียกทุกหน่วยงานของ ตร.ขันน็อตเพื่อแก้ปัญหาวันจันทร์ที่ 20 ม.ค.

 จากนั้น จะประสานทูตแต่ละประเทศ รวมทั้งสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เพื่อคัดกรองนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้ามาในประเทศไทย จากที่ผ่านมามีคนร้ายใช้ประเทศไทยในการก่อเหตุอาชญากรรม ในหลายรูปแบบ

สำหรับกรณีแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ตร.ยังเตรียมพูดคุยกับภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง โดยเชิญผู้บริหารค่ายโทรศัพท์ต่างๆ เข้ามาพูดคุยเพื่อประสานความร่วมมือกัน โดยต้องการให้เครือข่ายของโทรศัพท์ เครื่องมือสมัยใหม่ในการตรวจสอบข้อมูลการใช้โทรศัพท์ เพื่อเป็นการป้องกัน