“พรรคร่วมฯ-อนุรักษ์”ผนึก ล้มกฎหมายสกัดรัฐประหาร

ฉะนั้นการยอมถอยของ “เพื่อไทย” เพื่อประคับประคองสถานะรัฐบาล แม้จะเป็นทางที่ไม่อยากเลือก แต่หากไม่เลือกโอกาสรอดย่อมน้อยลงเช่นกัน แถมตัวประกันชื่อ “แพทองธาร ชินวัตร” อาจจะถูกผลักเข้าสู่เรดโซนเร็วยิ่งขึ้น
KEY
POINTS
- ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ “ประยุทธ์ ศิริพานิชย์” สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย จะเสนอร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.)จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม (ฉบับที่...) พ.ศ....
-
เนื่องจากการขยับเกมการเมืองทุกหมากของ “เพื่อไทย” มักจะมีทีมกลั่นกรองอย่างดี เกมนี้หากเอาจริง จะเหมือนส่งสัญญาณท้ารบกับ “สัญญาพิเศษ” ท้าชนกับ “กองทัพ” ตาต่อตาฟันต่อฟัน
-
ทว่า "พรรคร่วมรัฐบาล" ส่งสัญญาณไม่ร่วมสังฆกรรมด้วย เพราะอ่านใจ "สัญญาณพิเศษ" คงไม่แฮปปี้ หากต้องมาลดถอนอำนาจ "กองทัพ"
ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เผยแพร่การรับฟังความเห็นตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 77 ในส่วนของ ร่างพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม (ฉบับที่...) พ.ศ.... ที่เสนอโดย “ประยุทธ์ ศิริพานิชย์” สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย
เนื่องจากการขยับเกมการเมืองทุกหมากของ “เพื่อไทย” มักจะมีทีมกลั่นกรองอย่างดี พร้อมประเมินสถานการณ์จังหวะไหนควรขับเคลื่อนเรื่องใด ฉะนั้นจังหวะก้าวของ “ประยุทธ์-สส.เพื่อไทย” ย่อมได้รับไฟเขียวจาก “บิ๊กเพื่อไทย”
ยิ่งปมร้อนแตะโครงการอำนาจของ “กองทัพ” ไม่มีทางที่ “บิ๊กเพื่อไทย” จะปล่อยให้ “ลูกพรรค” ร่างกฎหมายเสนอโดยไม่ผ่านความเห็นชอบ ที่สำคัญ “ลูกพรรค” คงไม่กล้าเสนอตัวท้าชน “อำนาจสีเขียว” ด้วยตัวเอง
เนื่องจาก พ.ร.บ.ฉบับนี้ หาก “เพื่อไทย” เอาจริง จะเหมือนส่งสัญญาณท้ารบกับ “สัญญาพิเศษ” ท้าชนกับ “กองทัพ” ตาต่อตาฟันต่อฟัน เพราะรายละเอียดของตัวกฎหมายลดอำนาจกองทัพอย่างชัดเจน
โดยเฉพาะมาตรา 35 ที่ระบุว่า ห้ามใช้กำลังทหารเพื่อกระทำการที่มิชอบด้วยกฎหมายบางประการ เช่น ยึดอำนาจจากรัฐบาล ก่อกบฏ ขัดขวางการปฏิบัติราชการ เพื่อธุรกิจ หรือกิจการที่เป็นประโยชน์ส่วนตัวของผู้บังคับบัญชา เป็นต้น
อีกทั้ง เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่านายทหารชั้นสัญญาบัตรผู้ใด ได้กระทำการ หรือตระเตรียมการเพื่อกระทำการตามมาตรา 35 วรรคหนึ่ง (1)ให้นายกรัฐมนตรี โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีมีอำนาจให้นายทหารผู้นั้นหยุดปฏิบัติหน้าที่ไว้เป็นการชั่วคราวในระหว่างรอการสอบสวน โดยไม่ต้องปฏิบัติตามขั้นตอนการสั่งพักราชการตามที่กฎหมายกำหนดไว้
อ่านใจ “บิ๊กบ้านจันทร์-บิ๊กเพื่อไทย” อาจจะหลิ่วตาให้ “ลูกพรรค” ขยับเกม เพื่อใช้ พ.ร.บ. ดังกล่าว เป็นข้อต่อรองทางอำนาจ หาก “กองทัพ” ไม่ยอมงอในบางเรื่อง ก็จะหยิบมาใช้เป็นเครื่องมือต่อรอง
อีกทางหนึ่ง “บิ๊กบ้านจันทร์” อาจจะต้องการเช็คกระแสทางการเมือง หาก “พรรคร่วมรัฐบาล” เห็นพ้องต้องกัน มีโอกาสที่พอจะขับเคลื่อนต่อได้
ทว่าผลที่ออกมาตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง “พรรคร่วมรัฐบาล” แพ็กกันเหนียวแน่น โดยเฉพาะพรรคภูมิใจไทย-พรรครวมไทยสร้างชาติ ประกาศจุดยืนไม่สนับสนุน พ.ร.บ. ดังกล่าว
“เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ รมว.มหาดไทย หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ประกาศจุดยืนว่า “เรื่องการสกัดการปฏิวัติ ตนไม่เห็นด้วย เพราะถ้าจะสกัดการปฏิวัติ ไม่เกี่ยวข้องกับนักการเมือง เพราะนักการเมืองก็คือนักการเมืองต้องทำหน้าที่ให้ดี”
“อัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์” สส.ราชบุรี พรรครวมไทยสร้างชาติ โฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ ชี้แจงว่า “เนื่องจากเป็นกฎหมายที่มีความสำคัญ มีความละเอียดอ่อน ส่งผลกระทบกับหลายภาคส่วน ในการเข้าไปแก้ไขเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบหรือกฎเกณฑ์ในกระทรวงกลาโหม จึงเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วน”
ขณะเดียวกันเกมยังเข้าทาง “พรรคฝ่ายแค้น” อย่างพรรคพลังประชารัฐ ได้ออกมาโชว์จุดยืนอนุรักษนิยม ไม่เห็นด้วยกับ พ.ร.บ. ดังกล่าว โดย พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย โฆษกพรรคพลังประชารัฐ ระบุว่า “จะเป็นการบั่นทอนให้กองทัพอ่อนแอลง และจะนำกองทัพ ไปใช้เพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองเท่านั้น จึงขอคัดค้าน อย่างถึงที่สุด”
นอกจากแรงกระเพื่อมฉากหน้าแล้ว บรรดา “หัวขบวนอนุรักษ์” ไม่เอาด้วยกับ พ.ร.บ.ดังกล่าว อย่างแน่นอน เพราะการปลดดาบ “กองทัพ” เสมือนปลดอาวุธของ “หัวขบวนอนุรักษ์” ตามไปด้วย
ต้องไม่ลืมว่าเครื่องมือ “กองทัพ” อำนาจในการทำรัฐประหาร มักจะถูกนำมาใช้ในสถานการณ์ที่จำเป็นอย่างมาก เพื่อประคับประคองอำนาจของตัวเอง
ยิ่งในสถานการณ์ที่ “กระแสสีส้ม” ท้าทายโครงการสร้างอำนาจทางการเมือง และนับวัน “กระแสสีส้ม” เติบโตมากขึ้น หาก “กองทัพ” ถูกบั่นทอนอำนาจทางกฎหมาย การรัฐประหารทำได้ยากขึ้น “หัวขบวนอนุรักษ์” ย่อมไม่แฮปปี้แน่นอน
ฉะนั้นการยอมถอยของ “เพื่อไทย” เพื่อประคับประคองสถานะรัฐบาล แม้จะเป็นทางที่ไม่อยากเลือก แต่หากไม่เลือกโอกาสรอดย่อมน้อยลงเช่นกัน แถมตัวประกันชื่อ “แพทองธาร ชินวัตร” อาจจะถูกผลักเข้าสู่เรดโซนเร็วยิ่งขึ้น







