ตระบัดสัตย์ รื้อ 'รธน.ใหม่' ? ‘ด่านยาก’ การเมืองพรรคร่วม

วาระร้อนของ "รัฐบาล - เพื่อไทย" ที่เร่งเกมแก้รัฐธรรมนูญ 2560 ให้เป็นฉบับใหม่ ดูท่าจะเป็นงานยาก และอาจทำไม่สำเร็จได้ทันเทอมของรัฐบาลชุดปัจจุบัน
KEY
POINTS
Key Point :
- วาระ "แก้รัฐธรรมนูญ" ที่ รัฐบาล - เพื่อไทย ประกาศให้เป็นเรื่องเร่งด่วน
- ผ่านมาปีกว่าแล้วยังไม่มีอะไรที่คืบหน้า
- ไทม์ไลน์ที่นำไปสู่การมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่เป็นประชาธิปไตยโดยเร็ว ดูท่าแล้ว จะเป็นไปไม่ได้
- เพราะเส้นทางมี ด่านยาก ที่ต้องฝ่า ผ่านการสร้างเงื่อนไข และอุปสรรคขึ้นมาเองของ "เพื่อไทย-พรรคร่วมรัฐบาล"
- แม้ "รัฐบาล" จะตั้งกรรมการศึกษาแนวทางการทำประชามติ แล้ว แต่ต้องรอผ่านด่าน แก้กติกาประชามติ
- นอกจากนั้นยังมี "สว." เป็นตัวแปรสำคัญ ในการ "ยื้อเวลา" และฝังกลบ การรื้อใหญ่ รัฐธรรมนูญ 2560
วาระ “แก้รัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย” ตามที่ “รัฐบาลเพื่อไทย” ประกาศไว้ ถูกจับตาจากสังคม ว่าจะทำได้อย่างที่พูด และทำให้สำเร็จในเทอมของรัฐบาล หรือภายในปี 2570 หรือไม่
หากจับตาตั้งแต่วันแรกของการประกาศอย่างเป็นทางการ ในคำแถลงนโยบายรัฐบาล “เศรษฐา ทวีสิน” อดีตนายกฯ ต่อรัฐสภา เมื่อ 11 ก.ย.2566 จะพบว่า ผ่านมา 1 ปี 3 เดือน ยังไม่เห็นอะไรที่เป็นรูปธรรม แม้จะปรากฏความตั้งใจ ริเริ่มกระบวนการ ทั้งกำหนดเป็นนโยบายเร่งด่วนที่ระบุว่า
“รัฐบาลจะหารือแนวทางทำประชามติที่ ประชาชนทุกภาคส่วนมีส่วนร่วม และหารือแนวทางทำรัฐธรรมนูญในรัฐสภา” และโฟกัสเป้าหมายคือ “ให้คนไทยมีรัฐธรรมนูญเป็นประชาธิปไตย ไม่แก้ไขในหมวดพระมหากษัตริย์”
แต่ถูกแปลความว่า “ประวิงเวลา” เพราะถ้อยคำไม่เหมือนกับที่หาเสียงไว้ ซึ่งให้สัญญาต่อประชาคมว่า “พรรคเพื่อไทย” ฐานะแกนนำจัดตั้งรัฐบาล จะเสนอให้ทำประชามติเพื่อนำไปสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ในการประชุม ครม. นัดแรก
แม้ต่อมา เมื่อ 3 ต.ค. “เศรษฐา” ลงนามตั้ง “คณะกรรมการเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางในการทำประชามติเพื่อแก้ไขปัญหาความเห็นที่แตกต่างในเรื่องรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560” ให้ “ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกฯ และรมว.พาณิชย์ ในขณะนั้น เป็นประธาน
“กรรมการประชามติฯ” ใช้เวลาทำงานรวมทั้งสิ้น 2 เดือนกับอีก 16 วัน เมื่อ 25 ธ.ค.2566 “ภูมิธรรม” นำกรรมการแถลงผลการดำเนินงาน ที่มีประเด็นสำคัญ คือ
1.ตัวคำถาม ที่ว่า “ท่านเห็นชอบหรือไม่ ที่จะมีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยไม่แก้ไขหมวด 1 บททั่วไป หมวด 2 พระมหากษัตริย์”
2.จำนวนทำประชามติ 3 ครั้ง โดยรอบแรก ตั้งใจทำให้เกิดขึ้นภายในเดือนเม.ย.- พ.ค. 2567
ขณะที่ประเด็นกรอบการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ และทำโดยใคร? “ภูมิธรรม” ระบุในช่วงนั้นว่า รัฐบาลจะมุ่งแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ผ่านไปให้ได้ภายใน 4 ปี พร้อมจะผลักดันอย่างเต็มที่ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ส่วน สสร. เป็นเรื่องของรัฐสภาจะออกแบบ
อย่างไรก็ดี หลังจากที่ “กรรมการศึกษาแนวทางการทำประชามติ” แถลงได้ใช้เวลา เกือบ 4 เดือน ก่อนเสนอรายงานผลฯ อย่างเป็นทางต่อ “สำนักงานเลขาธิการนายกฯ” เมื่อ 22 เม.ย.2567
เนื่องจากมี “ประเด็น” ที่ “พรรคก้าวไกล-ด้อมส้ม” ไม่เห็นด้วยที่จะทำประชามติ 3 ครั้ง
ทำให้ “เพื่อไทย” ฐานะแกนนำรัฐบาล ต้องเลือกทางประนีประนอม และใช้กลไกเสียงข้างมากในสภาฯ นำเรื่องไปสู่ “ศาลรัฐธรรมนูญ” ผ่านการสร้างประเด็นเห็นต่าง ระหว่าง “วันมูหะมัดนอร์ มะทา” ประธานรัฐสภากับ “สมาชิกรัฐสภา”
แม้ “เพื่อไทย-ก้าวไกล” จะร่วมมือกัน ส่งญัตติของรัฐสภาสู่ศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อถามความชัดเจนว่า “ทำประชามติแก้รัฐธรรมนูญตอนไหนและกี่ครั้ง” ทว่า “ศาลรัฐธรรมนูญ” ไม่เล่นด้วย
ทำให้เส้นทางแก้รัฐธรรมนูญต้องโฟกัสที่ ฝ่ายบริหาร โดย “ครม. - เศรษฐา” เห็นชอบ รายงานศึกษาของกรรมการประชามติฯ เมื่อ 23 เม.ย.2566 แต่กลับเพิ่มเงื่อนไข คือ “ก่อนทำประชามติแก้รัฐธรรมนูญ ขอให้ สภาฯ แก้ไข กติกาว่าด้วยการออกเสียงประชามติ" เสียก่อน
โดยไฮไลต์คือ แก้ “เกณฑ์ผ่านประชามติด้วยเสียงข้างมาก 2 ชั้น” คือ “จำนวนผู้ออกมาใช้สิทธิต้องเกินกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิ" และ "เสียงเห็นชอบต้องเป็นเสียงข้างมากที่เกินกึ่งหนึ่งของผู้ออกมาใช้สิทธิ” เป็นแค่ “เสียงข้างมากของผู้มาออกเสียง”
กระบวนการแก้ พระราชบัญญัติประชามติ วนเวียนอยู่ในเวทีของสภาฯ 6 เดือน เพราะแม้ สส. จะแก้ไขเกณฑ์ผ่านประชามติได้ แต่ในชั้น “สว.” กลับพบความเห็นต่าง และในเกมหมากนี้ พบว่า “วุฒิสภา” ซึ่งเป็น “ชุดใหม่” พลิกเกม 360 องศา ฟื้น “เกณฑ์ผ่านประชามติ 2 ชั้น” ในชั้นกรรมาธิการ ที่มี "พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ แสงเพชร” สว.สายบ้านใหญ่ “บุรีรัมย์” เป็นประธาน
และในชั้นของที่ประชุม “สว.” เห็นชอบท่วมท้น ทำให้ร่าง พ.ร.บ.ประชามติ ต้องเข้าสู่กระบวนการตั้งกรรมาธิการร่วมกัน ที่มี “สว.” เป็นเสียงข้างมาก
ล่าสุด นั้นในมติของกรรมาธิการร่วมของสองสภาฯ ยืนยันเกณฑ์ผ่านประชามติด้วยเสียงข้างมากสองชั้น และ สภาฯ กับ วุฒิสภา ต้องลงมติยืนยันอีกครั้งว่าจะเห็นด้วยกับ “มติกรรมาธิการร่วมหรือไม่”
ซึ่งวุฒิสภา กำหนดลงมติ วันที่ 17 ธ.ค.67 ขณะที่ “สภาผู้แทนราษฎร” นัดลงมติ 18 ธ.ค.67 ผลที่จะออกมา คาดการณ์ไว้ว่า “สวนทาง”
ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 137 และมาตรา 138 ระบุว่าต้อง “ยับยั้ง” ร่างกฎหมายนั้นไว้ก่อน 180 วัน เมื่อพ้นกำหนด ให้สิทธิ “สภาฯ” ยกร่าง พ.ร.บ.ที่ยับยั้งไว้ขึ้นมาพิจารณา ซึ่งมีตัวเลือกคือ
1.ยืนยันร่างที่ผ่านการพิจารณาของสภา
หรือ 2.ร่างที่คณะกรรมาธิการร่วมกันพิจารณา
หากนับปฏิทินดูแล้ว วันที่ครบ 180 วัน จะตกอยู่ที่กลางเดือนมิ.ย.2568 ซึ่งอยู่ระหว่างปิดสมัยประชุม กว่าที่ “ร่างพ.ร.บ.ประชามติ” จะเข้าสู่สภาฯให้ยืนยัน ต้องรอ เดือนก.ค.นี้ ซึ่งเป็นสมัยที่สามของ “สภา” ชุดปัจจุบัน
ในเจตจำนงของรัฐบาลเพื่อไทย ที่ “แพทองธาร ชินวัตร” เป็นผู้นำ ต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เมื่อ 12 ก.ย.2567 ย้ำและยืนยันว่า “รัฐบาลจะเร่งรัดทำรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนให้เป็นประชาธิปไตย โดยเร็วที่สุด”
ทว่า เมื่อกางปฏิทินการเมือง เกี่ยวกับการรัฐธรรมนูญภายในรัฐบาลปัจจุบัน ทางที่ว่าอาจทำได้แน่ๆ อาจ “เป็นไปไม่ได้” เพราะยังมีอุปสรรคที่ต้องฝ่า ทั้งกระบวนการยื่นตีความ กติกาประชามติ ก่อนประกาศใช้ กระบวนการตรวจสอบการทำประชามติ เป็นต้น
แต่หากไร้อุปสรรค กว่าจะได้ทำประชามติรอบแรก ต้องใช้เวลารอ ไปจนถึง เดือน ม.ค.2569 เพราะในกติกากฎหมายประชามติ ต้องมีกระบวนการให้ข้อมูลประชาชน 90 - 120 วัน
หากผ่านด่านนี้ไปได้ ต้องใช้เวลาในรัฐสภา ราวๆ 3 เดือน เพื่อแก้ไขเนื้อหา มาตรา256 และรอให้ “รัฐสภา” เห็นชอบ ก่อนส่งทำประชามติรอบสอง ที่กินเวลา 3 - 4 เดือน เมื่อผ่านไปได้ ต้องเข้าสู่กระบวนการ “ยกร่างใหม่” โดยรูปแบบที่รัฐสภา ออกแบบไว้ให้ ซึ่งอาจจะเป็น “สสร.” จากการเลือกตั้ง หรือ “สสร.แบบผสม” ที่ต้องมีกระบวนการคัดเลือก “สสร.” อีก ไม่ต่ำกว่า 2 เดือน
และกว่าที่ “องค์คณะผู้จัดทำรัฐธรรมนูญใหม่” จะเริ่มยกร่าง อาจต้องรอไปถึงปลายปี 2569 ที่อาจต้องใช้เวลา ไม่ต่ำกว่า 6 เดือน ทั้งนี้เมื่อทำเสร็จแล้ว ต้องผ่านกระบวนการทำประชามติรอบสุดท้ายอีก
นั่นแปลว่า รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ตาม “นโยบายพรรคเพื่อไทย” ที่ต้องการให้มีรัฐธรรมนูญของประชาชน เพื่อประชาชน อาจจะเสร็จไม่ทันเทอมรัฐบาลนี้
ปฏิเสธไม่ได้ว่า การรื้อรัฐธรรมนูญฉบับ 60 แฝงไว้ด้วยกลเกมการเมืองระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล ที่มีสภาสูงเป็นตัวแปร ที่ฝ่าด่านยาก
ทว่าเมื่อถึงสุดท้ายปลายทาง หากการแก้รัฐธรรมนูญไม่สำเร็จ รัฐบาลเพื่อไทย ย่อมไม่พ้นถูกทวงถามถึงนโยบายที่เคยประกาศไว้ เมื่อรักษาสัตย์ไว้ไม่ได้.
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







