เปิด 'ร่างแก้กม.ประชามติ' ปูทาง 'รธน.ฉบับประชาชน'?

สภาสมัยวิสามัญ เตรียมพิจารณาร่างแก้กม.ประชามติ เพื่อปลดล็อกเสียงข้างมาก2ชั้น แม้มี4ฉบับชงให้พิจารณา ทว่ายังมีเนื้อหาที่ซ่อนกล ยื้อทางสู่ รธน.ฉบับประชาชน ได้
KEY
POINTS
Key Point :
- สภาฯ นัดประชุมเพื่อแก้ พ.ร.บ.ประชามติ เพื่อปลดล็อก เกณฑ์ผ่านการออกเสียงประชามติ
- ขณะนี้มี 4 ฉบับที่ คือ ของ ครม. - เพื่อไทย-ก้าวไกล -ภูมิใจไทย ส่งให้ สภาฯ พิจารณาในวาระแรก
- ฉบับของครม. ว่ากันว่าเป็นฉบับสมานฉันท์ ผนวกเนื้อหาของ ก้าวไกล-เพื่อไทย เข้าด้วยกัน
- ส่วนฉบับของภูมิใจไทย ที่เป็นร่างแทรกเข้ามา ต้องจับตาว่ามีวาระซ่อนหรือไม่ เพราะเนื้อหาที่ใครๆ อยากปลดล็อกเสียงข้างมาก2ชั้น ฉบับนี้ยังคงด่านสำคัญไว้
- วาระรับหลักการ แม้จะมีบทสรุป คือ ผ่านไปสู่ชั้นกรรมาธิการ - แปรญัตติ ต้องติดตามเนื้อหาว่าจะซ่อนกล ยื้อทาง ของรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน เพื่อต่อเวลา รัฐบาลเพื่อไทย หรือไม่
ผู้สื่อข่าวรายงาน ถึงการประชุมสภาฯ สมัยวิสามัญ วันที่ 18 มิ.ย. มีวาระพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ (ฉบับที่...) พ.ศ.... โดยมี ผู้เสนอร่างแก้ไขกฎหมายดังกล่าว รวม 4 ฉบับ คือ ฉบับของคณะรัฐมนตรี ฉบับของพรรคเพื่อไทย ฉบับของพรรคก้าวไกล และ ฉบับของพรรคภูมิใจ
ทั้งนี้ในฉบับของ ครม. นั้น นิกร จำนง เลขาธิการคณะกรรมการศึกษาแนวทางการทำประชามติ เพื่อแก้ไขความเห็นต่างในรัฐธรรมนูญ 2560 เปิดเผยว่า เป็นฉบับสมานฉันท์ โดยรวมเนื้อหาจากพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทย มาปรับแก้ไขและเสนอต่อสภาฯ ให้พิจารณา
สาระหลักที่แก้ไข คือ การปลดล็อค เกณฑ์ผ่านประชามติ จากเดิมที่ใช้เสียง ข้างมากเกินกึ่งหนึ่ง 2 ชั้น คือ ผู้มาใช้สิทธิต้องเกินกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิ และ เสียงผ่านประชามติต้องเป็นเสียงข้างมากเกินกึ่งหนึ่งของผู้ออกมาใช้สิทธิ
ตามความเห็นในวงประชุม “กรรมการศึกษาแนวทางการทำประชามติฯ” ที่มี “ภูมิธรรม เวชชยชัย” รองนายกฯและรมว.พาณิชย์ เป็นกุนซือ ระบุไว้ว่า “เกณฑ์เสียงข้างมาก2ชั้น ในกฎหมายประชามติเดิมนั้น เป็นอุปสรรค ขัดขวางต่อการได้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่เป็นของประชาชน ดังนั้นจึงจำเป็นต้องปลดล็อก ก่อนการทำประชามติเพื่อสอบถามความเห็นชอบของประชาชนในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 จะเกิดขึ้น”
เมื่อเทียบกับ 4 ร่างที่เสนอให้สภาฯ พิจารณาในวันที่ 18 มิ.ย. นั้น พบว่ามีจุดประสงค์เพื่อปลดล็อก “เสียงข้างมากสองชั้น” ทว่า รายละเอียดของเนื้อหานั้นแตกต่างกัน
โดยสาระร่างแก้ไขฉบับของ ครม. ในประเด็นนี้ แก้ไขให้เป็น “การออกเสียงที่เป็นข้อยุติในเรื่องทำประชามติ ให้ถือเสียงข้างมากของผู้มาออกเสียง โดยคะแนนเสียงข้างมากต้องเกินกึ่งหนึ่งของผู้มาออกเสียง และสูงกว่าคะแนนโหวตโน”
ขณะที่ของ “พรรคก้าวไกล” กำหนดไว้ว่า “การออกเสียงที่เป็นข้อยุติ ต้องมีจำนวนเสียงเกินกึ่งหนึ่งของผู้มาใช้สิทธิ”
ส่วนของพรรคเพื่อไทย กำหนดไว้ว่า “ให้ถือเสียงข้างมากของผู้มาออกเสียง โดยคะแนนต้องสูงกว่าคะแนนเสียงไม่แสดงความคิดเห็น”
ทั้งนี้ในฉบับของพรรคภูมิใจไทย ที่ขอแก้ไขให้ การทำประชามติ เป็นการให้คำปรึกษากับรัฐบาลด้วยนั้น ได้เขียนเกณฑ์ผ่านประชามติในกรณีนี้ไว้ด้วยว่า “ถือเสียงข้างมาก”
โดยการขอแก้ไขเกณฑ์ผ่านประชามติของแต่ละฉบับนั้น มีข้อวิจารณ์ในส่วนดี และ ไม่ดีต่างกันออกไป เช่น กรณีของพรรคก้าวไกล ต้องการให้ การทำประชามติผ่านได้ง่ายที่สุด แต่ในอนาคตหากมีเรื่องสำคัญที่ต้องการใช้ประชามติเพื่อเป็นข้อยุติ แต่มีผู้ออกมาใช้สิทธิน้อยเกินไป หรือไม่ถึงกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิออกเสียง อาจทำให้กลายเป็นประเด็นของการยอมรับผลประชามติได้
หรือ กรณีของ พรรคภูมิใจไทย ที่ยังคง “ด่าน2ชั้น” เพื่อผ่านประชามติ แม้จะเป็นสิ่งที่ลดข้อโต้แย้งในประเด็นความชอบธรรมได้ ทว่า การใส่ล็อก เกณฑ์ผู้ออกมาใช้สิทธิไว้อยู่นั้น อาจทำให้เป็นประเด็นที่ถูกมองว่า ซ่อนกล เพื่อพิทักษ์รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 ไม่ให้ถูกรื้อทิ้งใช่หรือไม่
อย่างไรก็ดีในรายละเอียดและสาระที่ชัดเจน จะได้ติดตามจากการอภิปรายของ สส.แต่ละฝ่าย ในเวทีประชุมสภาฯ วันที่ 18 มิ.ย.นี้ แม้ผลของการพิจารณาวาระรับหลักการ ที่แน่ชัดแล้วคือ “ผ่านวาระรับหลักการ” และเข้าไปสู่กลไกตั้งกมธ. - แปรญัตติ ต้องจับตาเรื่องระยะเวลาและเนื้อหาที่จะเป็นบทสรุปอีกครั้ง ว่าจะมีเกมซ่อนกล เพื่อยื้อการทำประชามติ ที่นำไปสู่การได้รัฐธรรมนูญฉบับประชาชนหรือไม่
ส่วนวิธีการออกเสียงลงคะแนน ได้เพิ่มช่องทางให้หลากหลายได้ ในคราวเดียวกัน เช่น ผ่านคูหา ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ระบบไปรษณีย์
นอกจากนั้นยังกำหนด ให้การรณรงค์ของการออกเสียงประชามติให้กว้างขวาง อิสระ และเท่าเทียม ทั้งฝ่ายที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย รวมถึงการเผยแพร่ข้อมูลเรื่องที่ทำประชามติให้ประชาชนรับรู้ในระดับที่นำไปตัดสินใจออกเสียงประชามติได้ ทั้งนี้เพื่อแก้ปัญหาในอดีต ที่พบว่ามีการแจ้งความดำเนินคดีกับ คนเห็นต่างกับเรื่องทำประชามติและถูกปิดช่องทางการรณรงค์เนื้อหาที่รอบด้าน.







