วีระ ยื่นศาลขอออกหมายจับ ป.ป.ช..ขัดคำสั่ง ไม่มอบเอกสารสอบนาฬิกา 'บิ๊กป้อม'

วีระ ยื่นศาลขอออกหมายจับ  ป.ป.ช..ขัดคำสั่ง ไม่มอบเอกสารสอบนาฬิกา 'บิ๊กป้อม'

"วีระ" ยื่นศาลปกครองกลาง ขอออกหมายจับ ป.ป.ช.ฐานขัดคำสั่ง ไม่มอบเอกสารสอบนาฬิกา "พล.อ.ประวิตร” ตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด

27 พ.ค.2567 นายวีระ สมความคิด ประธานเครือข่าย ประชาชนต้านคอร์รัปชั่น  (คปต.)   โพสต์ภาพคำร้องที่ยื่นต่อศาลปกครองกลาง   ขอให้ศาลมีคำสั่งเกี่ยวกับการบังคับคดี   พร้อมข้อความระบุว่า    เวลา 11.28 น. ได้ไปยื่นคำร้องขอให้ศาลปกครอง    ออกหมายจับผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสอง   (เลขาธิการ ป.ป.ช. ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1    และคณะกรรมการ ป.ป.ช. ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 )   มากักขังไว้    จนกว่าจะปฏิบัติตามคำพิพากษาและคำบังคับของศาล    ในคดีที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสอง ไม่ยอมให้เอกสารจำนวน 3 รายการ กรณี นาฬิกา 22 เรือน ของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่อ้างว่าเป็น นาฬิกายืมเพื่อน

เนื่องจากล่าสุด เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2567    ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสอง ยังดื้อดึง ยังบังอาจท้าทายกฎหมาย   ไม่ยอมปฏิบัติตามคำสั่งคำบังคับของศาลปกครอง   โดยผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสอง    ได้ส่งมอบเอกสารที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาให้เปิดเผยต่อผู้ฟ้องคดี    อย่างไม่ถูกต้องและไม่ครบถ้วน    ตามที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารทั้ง 3 รายการ    ตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัย การเปิดเผยข้อมูลข่าวสารฯ ที่ สค 333/2562     โดยเอกสารที่ส่งมอบรายการที่ 1 จำนวน 500 กว่าแผ่น มีการคาดแถบดำปกปิดเนื้อหาในเอกสารในส่วนที่เป็นสาระสำคัญ    ทำให้ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าข้อความส่วนที่ปกปิดดังกล่าวเป็นข้อความใด   หมายถึงอะไร   ทำให้เสียประโยชน์ไม่สามารถตรวจสอบหาความจริงของผู้ที่กระทำความผิดได้    ทำให้เชื่อได้ว่าการปกปิดสาระสำคัญดังกล่าว มีเจตนาอำพรางความผิด

นอกจากนั้นผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองยังให้กระดาษที่แทบจะเหมือนกระดาษเปล่า ทำให้ไม่สามารถทราบได้เลยว่า    เอกสารหน้าดังกล่าวมีรายละเอียดอะไร   หมายถึงเรื่องอะไร  ไม่ได้ใจความอะไรเลย อีกจำนวนนับสิบแผ่น    ทำให้เชื่อได้ว่ารายละเอียดต่างๆในหน้านั้น    ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองต้องการจะปกปิดไม่ยอมเปิดเผย ที่สำคัญเอกสารทั้ง 3 รายการ   จำนวนกว่า 500 หน้า 500 แผ่น    ซึ่งได้รับในวันที่ 23 พฤษภาคม 2567 นั้น    ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองก็ไม่มีการลงนามรับรองความถูกต้องของเอกสารที่ส่งมอบให้เลยแม้แต่หน้าเดียว จึงไม่สามารถเชื่อได้ว่าเป็นเอกสารที่แท้จริงตามที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาให้เปิดเผยแก่ผู้ฟ้องคดีหรือไม่    การกระทำดังกล่าวของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสอง    จึงถือได้ว่ามีเจตนาฝ่าฝืนคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดอย่างชัดแจ้ง   สมควรที่จะถูกลงโทษตามกฎหมาย เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างที่เลวต่อสังคมต่อไป

ตอนท้ายนายวีระ ยังระบุว่า   ก็ต้องวัดใจศาลปกครอง ว่าจะกล้าจัดการกับผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองต่อไปอย่างไร    #เราจะสู้กับพวกมันจนถึงที่สุดตามกฎหมายเท่าที่เราจะทำได้