เบื้องลึก‘บิ๊กโจ๊ก’แฉสิ้นไส้ เส้นทาง'คนวงใน' องค์กรอิสระ

เบื้องลึก‘บิ๊กโจ๊ก’แฉสิ้นไส้   เส้นทาง'คนวงใน' องค์กรอิสระ

เปิดเบื้องหลัง เส้นทาง "บิ๊กโจ๊ก"สาวไส้ "ผู้ใหญ่ทางการเมือง-องค์กรอิสระ" ปฐมบท"ฟันไม่เลี้ยง" ก่อนเด้งพ้นปทุมวัน

สังคมไทย และกระบวนการยุติธรรมไทย เดินมาสู่ทางแยกสำคัญอีกครั้ง

เราจะปล่อยให้เรื่องราวของ “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.  จบลง โดยเจ้าตัวเป็นคนผิด ถูกสังเวย ถูกดำเนินคดี และถูกกันออกจากแคนดิเดต ผบ.ตร.เพียงคนเดียว ท่ามกลางข้อกล่าวหาอีกหลากหลายที่ยังไม่ได้ชำระสะสางหรือไม่

โดยเฉพาะคู่กรณีของ “บิ๊กโจ๊ก” ซึ่งตำแหน่งสูงกว่า แต่ยังไม่มีขยับกระบวนการทางคดี

จริงๆ ผมได้ข่าวจาก “คนใกล้ชิดของผู้ใหญ่ในบ้านเมือง” มาระยะหนึ่งแล้ว ก่อนที่เรื่องราวของ “บิ๊กโจ๊ก” จะบานปลายมาขนาดนี้ว่า สุดท้ายเรื่องนี้จะจบแบบ “คนหนึ่งหลุด คนหนึ่งได้กลับ”

และมีเสียงเตือนมาเบาๆ ว่า ไม่ต้องไปเสนอข่าวเชิงลึกอะไรมาก เพราะทุกอย่างถูกออกแบบไว้เรียบร้อยหมดแล้ว

หลังจากนั้นทุกอย่างก็เดินตามสเต็ป เป็นขั้นเป็นตอน กระทั่งถูกวันที่ “บิ๊กโจ๊ก” ถูกสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน ผมได้ไปพบกับ “นักวิเคราะห์การเมืองชื่อก้อง” ซึ่งมีเรตติ้งอันดับ 1 ในขณะนี้ เป็นที่ต้องการตัวของทุกสื่อ

นักวิเคราะห์การเมืองท่านนี้ถามผมกลางโต๊ะหารือเล็กๆ ว่า “พี่ว่าเรื่องบิ๊กโจ๊กจะจบอย่างไร ตายคู่หรือตายเดี่ยว”

ผมก็พาซื่อตอบไปตามที่ทราบมา “ตายเดี่ยวครับ”

ปรากฏว่านักวิเคราะห์การเมืองถึงขั้นตบโต๊ะ หัวเราะร่า และขอจับมือกับผมว่า “รู้ลึก รู้จริง”

พร้อมอธิบายเหตุผลว่า คู่ขัดแย้งของ “บิ๊กโจ๊ก” จะโดนอะไรไม่ได้ เพราะจะสะเทือนฝ่ายการเมือง เนื่องจากเป็นผู้เสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งสำคัญ…

บอกตรงๆ ถึงนาทีนี้ผมยงไม่อยากเชื่อว่า สุดท้ายเรื่องราวจะจบลงแบบที่ผมตอบนักวิเคราะห์การเมืองชื่อดังไปจริงๆ และยังลุ้นให้กระบวนการเดินหน้าตามกฎหมาย

เพราะไหนๆ จะล้างคราบไคลความไม่สะอาดกันแล้ว ก็ควรล้างทุกเรื่อง ทุกคนที่เกี่ยวข้อง เรื่องนี้ไม่ใช่การให้ความเป็นธรรมกับ “บิ๊กโจ๊ก” แต่เป็นการให้ความเป็นธรรมสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

และให้ความเป็นธรรมประชาชนคนไทยเจ้าของภาษี เจ้าของงบประมาณที่แปรเป็นเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง เงินจัดซื้อจัดจ้าง และเงินอะไรต่อมิอะไรที่พวกท่านเสวยสุขกัน แถมประชาชนยังแบกหนี้กันไปจนถึงรุ่นหลาน เหลน โหลน เพราะเตรียมจะกู้มาแจกกันอีก 5 แสนล้าน

เรื่องราวกล่าวหาค้างคาที่เป็นเรื่องเก่าก่อนเข้าสู่ตำแหน่ง โดยเฉพาะข้อกล่าวหาพาดพิงจากการชี้ตัว-ชี้ภาพของ “ผู้ต้องหาคดีอุกฉกรรจ์” ที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 เรื่องนั้นก็ยังไม่เคลียร์ ไม่ต้องนับรวมข้อกล่าวหาเรื่องเส้นทางเงิน เรื่องทรัพย์สิน เรื่องบ้านหรู และอื่นๆ อีกมากมายก

และการตรวจสอบก็ไม่ควรจำกัดเฉพาะที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แต่ควรตามรอยที่ “บิ๊กโจ๊ก” แฉบุคคลอื่น องค์กรอื่นด้วย

อย่างล่าสุด คือ บันทึกข้อความลงวันที่ 17 เมษายน 2567 ที่ “บิ๊กโจ๊ก” เสนอต่อคณะกรรมการองค์กรอิสระแห่งหนึ่ง ขอคัดค้านการปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการบางคน และขอให้ตรวจสอบพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม 

เบื้องลึก‘บิ๊กโจ๊ก’แฉสิ้นไส้   เส้นทาง\'คนวงใน\' องค์กรอิสระ

บันทึกข้อความฉบับนี้ มีเนื้อหาโดยสรุป เปิดโปงพฤติกรรมของกรรมการองค์กรอิสระรายหนึ่ง ซึ่งก่อนเข้าสู่ตำแหน่งเคยทำงานในแวดวงตุลาการ เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อราวๆ 4 ปีก่อน มีสุภาพสตรีท่านหนึ่งซึ่ง “บิ๊กโจ๊ก” รู้จักดีในฐานะเพื่อนรุ่นพี่ และเข้าศึกษาในหลักสูตรอบรมที่ขึ้นชื่อเรื่องสร้างคอนเนคชั่น ได้พากรรมการท่านนี้มาพบ “บิ๊กโจ๊ก” เพื่อประสานการเข้าพบ “ผู้ใหญ่ในแวดวงการเมืองท่านหนึ่ง” เพื่อให้สนับสนุนตัวเขาเป็นกรรมการองค์กรอิสระ

สาเหตุที่ต้องหา “เส้น” ให้ช่วย ก็เพราะมีคู่แข่งน่ากลัว และคุณสมบัติของตนสู้ไม่ได้

หลังได้รับการทาบทาม “บิ๊กโจ๊ก” ก็พากรรมการรายนี้เข้าพบ “ผู้ใหญ่ทางการเมือง” ถึงที่พักส่วนตัว ปรากฏว่ากรรมการรายนี้ได้ปวารณาตัวขอรับใช้ “ผู้ใหญ่ทางการเมือง” ที่ตนร้องขอให้ช่วยเหลือ

ต่อมา กรรมการรายนี้ได้รับเลือกเป็นองค์กรอิสระจริงๆ โดยมติของวุฒิสภา จึงประสาน “บิ๊กโจ๊ก”​ ให้พาเข้าพบ “ผู้ใหญ่ทางการเมือง” อีกครั้ง เพื่อขอบคุณที่ให้การสนับสนุน ได้เป็นกรรมการองค์กรอิสระสมความตั้งใจ ซึ่งวันดังกล่าว

“บิ๊กโจ๊ก”​  อ้างว่าได้ยินคำพูดของกรรมการองค์กรอิสระรายนี้ กล่าวกับผู้ใหญ่ทางการเมืองว่า “พร้อมจะรับใช้ มีอะไรให้สั่งผ่านมาที่ผมได้เลย”

ต่อมา “บิ๊กโจ๊ก” ได้นัดหมายเจ้าหน้าที่องค์กรอิสระรายหนึ่ง ซึ่งเป็นมือทำงานด้านไต่สวน ให้เข้าพบกรรมการองค์กรอิสระรายนี้ เพื่อทำงานร่วมกัน แต่ต่อมาทั้งคู่เกิดแตกคอกัน โดยกรรมการองค์กรอิสระได้ประสานมายัง “บิ๊กโจ๊ก” อ้างว่าถูกเจ้าหน้าหน้าที่ที่พาไปรูัจัก ทำหนังสือร้องเรียนใส่ร้ายในเรื่องรับสินบนจากข้าราชการในกระบวนการยุติธรรม และกรณีนำเงินไปซื้อรถยนต์ให้สุภาพสตรีคนหนึ่ง

โดยกรรมการองค์กรอิสระเรียกร้องให้ “บิ๊กโจ๊ก” จัดการกับเจ้าหน้าที่คนนี้ เพราะมาร้องเรียนตนให้ได้รับความเสียหาย ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องไม่จริง แต่ “บิ๊กโจ๊ก” อ้างว่าจัดการไม่ได้

ทำให้กรรมการองค์กรอิสระไม่พอใจ ถึงกับขู่อาฆาต และมีการพยายามติดต่อมาพูดคุย นัดเจรจาอีกหลายครั้ง พร้อมคำขู่ทำนองว่า หากมีเรื่องของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เข้ามาที่หน่วยงานเมื่อใด “จะฟันไม่เลี้ยง”

ปรากฏว่าในเวลาต่อมา เมื่อเรื่องร้องเรียนของ “บิ๊กโจ๊ก” ถูกส่งไปยังองค์กรอิสระแห่งนี้บ้าง กรรมการรายนี้ก็จะลงมติในทางที่เป็นโทษกับ “บิ๊กโจ๊ก” ทุกครั้ง จนทำให้สื่อมวลชนยักษ์ใหญ่บางรายนำไปเป็นข้อมูลในการรายงานข่าวโจมตี “บิ๊กโจ๊ก”

สำหรับ “ผู้ใหญ่ทางการเมือง” ที่ “บิ๊กโจ๊ก” อ้างในบันทึกข้อความร้องเรียน คืออดีตนายทหารซึ่งมีอำนาจทางการเมืองสูงเป็นลำดับต้นๆ ของประเทศในห้วงหลายปีที่ผ่านมา และยังมีชื่อเสียงด้านรู้จักมักคุ้นกรรมการระดับสูงในองค์กรอิสระหลายราย จนถูกนินทาว่าครอบงำองค์กรอิสระบางองค์กรได้

เบื้องลึก‘บิ๊กโจ๊ก’แฉสิ้นไส้   เส้นทาง\'คนวงใน\' องค์กรอิสระ

แต่เนื้อหาในบันทึกข้อความของ “บิ๊กโจ๊ก” พยายามไม่กล่าวให้ร้ายผู้ใหญ่ทางการเมืองรายนี้ และไม่ได้ยืนยันข้อเท็จจริงว่า ผู้ใหญ่รายนี้ได้ช่วยเหลือกรรมการคนดังกล่าวให้ได้รับเลือกเป็นกรรมการองค์กรอิสระหรือไม่

เรื่องราวที่ยกมาจากหนังสือร้องเรียนของ “บิ๊กโจ๊ก” คงต้องไปตรวจสอบตามกระบวนการว่าจริงเท็จอย่างไร ผมเองก็ไม่ได้ปักใจเชื่อ แต่ก็คาดว่าน่าจะมีมูลอยู่บ้าง และข้อเท็จจริงตามท้องเรื่องสะท้อนภาพสังคมการเมืองบ้านเราหลายประการ

1.การเป็นกรรมการองค์กรอิสระ วิ่งเต้นได้จริง หรืออย่างน้อยก็มีความพยายามวิ่งเต้นจริงๆ

2.เมื่อวิ่งเต้นได้ หรือเข้าใจว่าวิ่งเต้นได้ ก็กลายเป็นบุญคุณทางการเมือง ทำให้อำนาจจากภายนอกแทรกแซงการทำงานได้จริง

3.กรรมการองค์กรอิสระเองก็ถูกร้องเรียนกล่าวหามากมาย ไม่ได้เป็น “มิสเตอร์คลีน” ทั้งๆ ที่ควรมี เพราะมีอำนาจหน้าที่ไปตรวจสอบ “ความไม่คลีน” ของบุคคลอื่น

4.ผู้ใหญ่ทางการเมืองบ้านเรา มีอำนาจมหาศาล มีแต่คนวิ่งเข้าหา และปวารณาตัวขอรับใช้

5.การรับสินบน เรียกรับ เลี้ยงดู ตอบแทน ข่มขู่ อาฆาต กลั่นแกล้ง มีอยู่มากมายไปหมด แม้แต่ในองค์กรอิสระที่มีอำนาจหน้าที่ตัดสินบุคคลอื่น ทำให้คนอื่นเข้าคุกได้ หรือประหารชีวิตทางการเมืองของบุคคลอื่น

6.หลักสูตรอบรมบ้านเรา เน้นคอนเนคชั่น ไม่ได้ทำเพื่อชาติ แต่เป็นคอนเนคชั่นในการหาผลประโยชน์ ฝากฝัง ดูแลในระบบอุปถัมภ์ และรับใช้ตอบแทนกันทางการเมือง

เราจะปล่อยประเทศให้เป็นอย่างนี้ต่อไป หรือจะพลิกวิกฤตเป็นโอกาส ล้างบ้านเมืองให้สะอาดไปด้วยกัน!?!