ผ่า 3 ก๊กหลังยุบ ‘ก้าวไกล’ - ‘พรรณิการ์’ ถอดสมการ 2 ก๊กพลิกจับมือ

ผ่า 3 ก๊กหลังยุบ ‘ก้าวไกล’ - ‘พรรณิการ์’ ถอดสมการ 2 ก๊กพลิกจับมือ

“ทำไมพรรคเพื่อไทยจะต้องโดนด่าอีกรอบเพื่อไปจับมือกับอนุรักษนิยม โดยทิ้งก้าวไกลในการเลือกตั้ง ปี 2570” พรรณิการ์ วานิช

KEY

POINTS

  • "พรรณิการ์ วานิช" เชื่อการเลือกตั้งปี 2570 การเมืองไทยยังเผชิญวังวน "3 ก๊ก" ก๊กเพื่อไทย ก๊กก้าวไกล และก๊กอนุรักษนิยม
  • แม้พรรคก้าวไกลจะถูกยุบพรรค แต่ "พรรณิการ์" เชื่อว่า ไม่มีวันที่ลบล้างความเป็นสถาบันพรรคการเมืองได้ 
  • การเมืองฉบับ 3 ก๊ก ในปี 2570 "พรรณิการ์" ยังหวังว่า "ก๊กเพื่อไทย" จะไร้เงื่อนไขอดีตนายกฯ กลับบ้าน แล้วกลับมาจับมือ "ก๊กก้าวไกล"
  • "พรรณิการ์" ไม่เห็นด้วยกับโทษตัดสิทธิทางการเมืองตลอดชีวิตจากคำพิพากษาของศาลฎีกา 
  • "การที่นักการเมืองคนหนึ่งจะไม่สามารถทำงานการเมืองต่อได้ มันควรเป็นการตัดสินโดยประชาชน เพราะว่า สส.ได้มาโดยการเลือกตั้ง ถ้าประชาชนไม่เลือก เขาก็สอบตก"

“ทำไมพรรคเพื่อไทยจะต้องโดนด่าอีกรอบเพื่อไปจับมือกับอนุรักษนิยม โดยทิ้งก้าวไกลในการเลือกตั้ง ปี 2570” พรรณิการ์ วานิช

KeyPoints

  • "พรรณิการ์ วานิช" เชื่อการเลือกตั้งปี 2570 การเมืองไทยยังเผชิญวังวน "3 ก๊ก" ก๊กเพื่อไทย ก๊กก้าวไกล และก๊กอนุรักษนิยม
  • แม้พรรคก้าวไกลจะถูกยุบพรรค แต่ "พรรณิการ์" เชื่อว่า ไม่มีวันที่ลบล้างความเป็นสถาบันพรรคการเมืองได้ 
  • การเมืองฉบับ 3 ก๊ก ในปี 2570 "พรรณิการ์" ยังหวังว่า "ก๊กเพื่อไทย" จะไร้เงื่อนไขอดีตนายกฯ กลับบ้าน แล้วกลับมาจับมือ "ก๊กก้าวไกล"
  • "พรรณิการ์" ไม่เห็นด้วยกับโทษตัดสิทธิทางการเมืองตลอดชีวิตจากคำพิพากษาของศาลฎีกา 
  • "การที่นักการเมืองคนหนึ่งจะไม่สามารถทำงานการเมืองต่อได้ มันควรเป็นการตัดสินโดยประชาชน เพราะว่า สส.ได้มาโดยการเลือกตั้ง ถ้าประชาชนไม่เลือก เขาก็สอบตก"

การเมืองไทยหลังจบศึกเลือกตั้งทั่วไป 14 พ.ค. 2566 กลายเป็นการเมืองภายใต้ฉบับ “3 ก๊ก” ไปเสียแล้ว

เป็นไปตามการเปรียบเทียบที่ “ปิยบุตร แสงกนกกุล” อดีตเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ มองว่าเป็นการเมือง 3 เส้าระหว่าง ก๊กพรรคเพื่อไทย-ทักษิณ ชินวัตร ก๊กชนชั้นนำ หรืออนุรักษนิยม และกองทัพ และก๊กสุดท้าย คือ ก๊กพรรคก้าวไกล

ผลเลือกตั้งปี 2566 จบลงด้วยบทสรุป “ก๊กเพื่อไทย” ทิ้ง “ก๊กก้าวไกล” ไปจับมือกับ “ก๊กอนุรักษนิยมเดิม” คือพรรคขั้วลุง

เช่นเดียวกับ “ช่อ” พรรณิการ์ วานิช โฆษกและกรรมการบริหารคณะก้าวหน้า ให้สัมภาษณ์พิเศษผ่าน “กรุงเทพธุรกิจ” มองศึก 3 ก๊กการเมืองไทย ภายใต้บริบท “พรรคก้าวไกล” ถูกยุบพรรคภายในกลางปี 2567

"วันนี้พรรคก้าวไกลเดินทางผ่านมา 6 ปีแล้ว เมื่อนับรวมกับพรรคอนาคตใหม่ มันคือสายธารเดียวกัน วันนี้ช่อกล้าพูดว่าพรรคก้าวไกลดีกว่าวันที่เป็นพรรคอนาคตใหม่เยอะมาก มีสมาชิกพรรค 1 แสนคนแล้ว ในวันนั้นอนาคตใหม่มีสมาชิก 50,000 คน วันนี้ก้าวไกลมีแสนคน มีผู้ให้ความเชื่อถือเห็นผลงาน ถึงแม้จะเป็นผลงานของฝ่ายค้าน"

พรรณิการ์

ยุบ "ก้าวไกล" การเมืองไทยยังวังวน 3 ก๊ก 

โดย “พรรณิการ์” ในวัย 36 ปี วิเคราะห์แม้พรรคก้าวไกล จะถูกยุบพรรค แต่การเมืองไทยยังคงเผชิญกับการเมือง “3 ก๊ก” เช่นเดิมในการเลือกตั้งปี 2570

“คุณไม่มีวันลบล้างความเป็นสถาบันพรรคการเมืองของพรรคโดยการยุบ ยุบก็ตั้งใหม่ อันนี้พูดแบบหวังดีต่อผู้ที่กำลังคิดจะยุบพรรคนะ ช่อคิดว่า เข้าใจว่าคุณไม่รู้จะทำยังไงกับก้าวไกล คุณกลัวมันมาก แล้วอาวุธสุดท้ายที่มีอยู่และรุนแรงที่สุดมันก็คือการยุบพรรค คุณคิดว่ายุบพรรคไปก่อนเลยค่อยว่ากัน”

“วันนั้นคุณต้องคิดอย่างนี้กับธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ปิยบุตร คิดอย่างนี้กับช่อใช่ไหม ตัดแข้งตัดขาอนาคตใหม่แล้วมันจะจบแน่นอน ถามว่าแล้วมันจบไหมคะ ทำไมวันนี้พรรคก้าวไกลกลายเป็นพรรคอันดับ 1 ของประเทศไทย” พรรณิการ์ ระบุ

อดีตโฆษกพรรคอนาคตใหม่ มองว่า ถ้าในอนาคตพรรคก้าวไกลถูกยุบพรรค ซึ่งไม่เกินกลางปี 2567 และพรรคก้าวไกลจะมีพรรคแถวที่ 3 ซึ่งอาจจะกลายเป็นพรรคสิบไกล สิบเอ็ดไกลก็ได้ในการเลือกตั้งปี 2570

“การเมืองเมืองไทยชัดเจนว่าเป็น 3 กลุ่มก้อน คือกลุ่มก้อนชนชั้นนำ กองทัพ ชนชั้นนำดั้งเดิมที่ครองมายาวนาน กลุ่มก้อน พรรคเพื่อไทย ก็คือกลุ่มก้อนที่ชนะเลือกตั้งมาก่อนแล้วถูกรัฐประหารไป ณ วันนี้ถูกข้ามขั้วไปรวมกับกลุ่มแรก แล้วก็ก๊กก้าวไกล 3 กลุ่มนี้เป็น 3 กลุ่มที่ใครสามารถรวมกับใครก็ได้นะ กลายเป็นการรักษาบาลานซ์ของระบบไปโดยปริยาย”

ก้าวไกล พรรณิการ์

“พรรณิการ์” ระบุว่า ภายหลังที่พรรคก้าวไกลถูกยุบพรรค แน่นอนว่า ก๊กก้าวไกลจะอ่อนแอลง เพราะจะต้องเสียเวลากับการก่อร่างสร้างพรรคใหม่ และแกนนำพรรครุ่นที่ 3 จะต้องใช้เวลาในการพิสูจน์ตัวเองด้วย

ไม่ต่างจากพรรคก้าวไกลที่เป็นพรรคแถวสอง ซึ่งกว่าที่ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” รับบทบาทหัวหน้าพรรค ก็ต้องใช้เวลาพิสูจน์จนได้รับการยอมรับ ก่อนประสบความสำเร็จได้รับเลือกตั้งมาเป็นอันดับ 1 ด้วยเสียง สส. 151 เสียง

“เวลาที่ก๊กก้าวไกลอ่อนแอ ก๊กเพื่อไทย กับก๊กอนุรักษนิยมเดิมจะจัดการตัวเองกันอย่างไร ดิฉันเชื่อว่า จริงๆ ในฝั่งอนุรักษนิยมเดิมก็ไม่ได้สบายใจกับบทบาทของคุณทักษิณในวันนี้ คือเป็นศัตรูกันมา 20 ปี เพราะฉะนั้นไม่สบายใจกันอยู่แล้ว ความหวาดระแวงต่างๆ อาจจะเพิ่มขึ้น ในวันที่ก้าวไกลต้องลดบทบาทของตัวเองโดยปริยาย เพื่อไปจัดการตัวเองภายในหลังการยุบพรรค”

เมิน "ทักษิณ" ปัด "เพื่อไทย" อนุรักษนิยมใหม่

แม้ล่าสุด “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี จะประกาศผ่านที่ประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2567 ของพรรคเพื่อไทย เมื่อวันที่ 5 เม.ย. 2567 ว่า “พรรคเพื่อไทย” ไม่ใช่ “อนุรักษนิยมใหม่”

แต่สำหรับ “พรรณิการ์” คิดว่าไม่ใช่หน้าที่ตัวเองจะต้องมาตัดสินว่า “ทักษิณ” นิยามจุดยืน “พรรคเพื่อไทย” จะถูกต้องหรือไม่

“ช่อคิดว่าการกระทำของพรรคการเมืองเอง เป็นผู้ที่กำหนดว่าประชาชนจะมองเขาเป็นเฉดสีไหน”

พรรณิการ์

“ช่อ” อ่านการเมืองไทยหลัง “พรรคก้าวไกล” ถูกยุบพรรค โดยเชื่อว่าฝั่งอนุรักษนิยม คงจะต้องคิดหนักเหมือนกันว่าสถานการณ์ที่พรรคก้าวไกลถูกบังคับให้อ่อนแอลง แล้วเพื่อไทยเข้มแข็งขึ้นจากการส่งมอบนโยบายได้ทั้งจากการเบิกจ่ายเม็ดเงินงบประมาณ หรือแม้แต่กระทั่งนโยบายแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ตได้ในช่วงครึ่งปี 2567

“อนุรักษนิยมเดิมจะมีความไว้วางใจให้กับพรรคเพื่อไทยได้มากน้อยแค่ไหน อย่าลืมนะพรรคเพื่อไทยเป็นพรรคที่เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล แต่ไม่ได้เป็นพรรคอันดับ 1 ยังคงอาศัยเสียงจากพรรคร่วมรัฐบาลจำนวนมาก และยังอาศัยการอุปถัมภ์ค้ำชูจากอนุรักษนิยมเดิมอย่างมากที่จัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จในครั้งนี้”

ถามถึงโอกาสที่พรรคเพื่อไทยจะมาจับมือกับพรรคก้าวไกลอีกครั้ง ยากขึ้นกว่าเดิมหรือไม่ “พรรณิการ์” มองตรงข้ามว่า โอกาสที่ก๊กก้าวไกลจะจับมือกับพรรคเพื่อไทยยังง่ายอยู่

“ในครั้งเลือกตั้งปี 2566 ความคาดหวังประชาชนได้แก่ เพื่อไทย ก้าวไกลใช่ไหมคะ เพื่อล้มอนุรักษนิยมเดิม พูดง่ายๆ คือฝั่งคุณประยุทธ์ จันทร์โอชา แต่เพื่อไทยก็ไปข้ามขั้ว ตั้งรัฐบาลกับฝั่งอนุรักษนิยมเดิม ด้วยเหตุผลสำคัญที่ทำให้ พรรคเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาลข้ามขั้วกับฝั่งอนุรักษนิยมเดิม จริงๆ ก่อนเลือกตั้งก็มีแพร่สะพัดมาพักใหญ่มาก ซึ่งเป็นหนึ่งในเหตุผลหลักทำให้พรรคเพื่อไทยแพ้เลือกตั้ง ก็คือคิดว่ายังไงพรรคเพื่อไทยก็ไปจับมือกับฝั่งลุง มากกว่าฝั่งก้าวไกล เพราะคุณทักษิณจะกลับบ้าน”

“ช่อ” มองว่าการเมืองไทยหลังปี 2566 ก๊กเพื่อไทยถูกบังคับให้จับมือกับก๊กอนุรักษนิยมเดิม ภายใต้เงื่อนไขสำคัญคือ การกลับบ้านของ “ทักษิณ”

เพราะถ้า “ก๊กเพื่อไทย” จับมือกับ “ก๊กก้าวไกล” ภายใต้สมการนี้ ไม่มีทางที่ “ทักษิณ” จะกลับบ้านได้ ดังนั้นคนที่ทำให้ “ทักษิณ” กลับบ้านได้คือ ก๊กอนุรักษนิยมเดิม

พรรณิการ์

เลือกตั้งปี70 หวังสูตร 2 ก๊กจับมือ 

“พรรณิการ์”มองอนาคตแบบฉบับ 3 ก๊กว่า “ในการเลือกตั้งปี 2570 คุณทักษิณกลับมาบ้านเรียบร้อยแล้ว คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ก็อาจกลับบ้านมาเรียบร้อยแล้วเหมือนกัน ถ้าเป็นไปตามที่ทุกคนคาดเดา เพราะฉะนั้นในการเลือกตั้งปี 2570 ใน 3 ก๊กนี้ จริงๆ ดิฉันก็ยังคิดไม่ออกว่าจะมีเหตุผลอะไรที่ทำให้พรรคเพื่อไทยจับมือกับฝั่งอนุรักษนิยมเดิม ซึ่งสวนกับความต้องการของประชาชน”

“สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับประเทศไทย ยังเป็นพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกล ถึงแม้พูดในวันนี้ ประชาชนจำนวนมากรู้สึกกล้ำกลืน เพราะมันแยกไม่ออกระหว่างเพื่อไทยกับอนุรักษนิยม จนถึงขั้นคุณทักษิณออกมาพูดว่าไม่ใช่อนุรักษนิยม ถามว่าทำไมต้องพูดอย่างนั้น เพราะว่าคุณทักษิณรู้ใช่ไหมคะว่าประชาชนมองอย่างไรอยู่”

“ช่อ” วิเคราะห์ในเลือกตั้งปี 2570 การเมืองไทยยังต้องอยู่กับวังวน ศึก 3 ก๊กฉบับคนเคยรักกัน

“การเลือกตั้งปี 2570 การเมืองไทย 3 ก๊กยังอยู่แน่นอน"

"เราต้องเฝ้าจับตาการตัดสินใจของพรรคเพื่อไทย คือ 3 ก๊กนี้ใครจับกับใคร อีกฝั่งหนึ่งแพ้ ถูกไหม เพราะมี 3 ก๊ก ใครรวมกับใคร อีกฝั่งหนึ่งก็กลายเป็นหนึ่งก็แพ้แน่นอน”

“พรรคเพื่อไทยจะเลือกคำสัญญาปีศาจให้คนด่าอีกรอบหรือไม่ หรือคุณจะเลือกกลับมาในหนทางที่ประชาชนคาดหวังว่าคุณจะเป็น คงต้องดูว่าปี 2570 พรรคเพื่อไทยจะตัดสินใจอย่างไร เราคาดหวังว่าจะไม่มีเงื่อนไขใดทำให้พรรคเพื่อไทยตัดสินใจสวนกระแสประชาชนอีก”

“ช่อ” ระบุว่า ทำไมพรรคเพื่อไทยจะต้องโดนด่าอีกรอบเพื่อไปจับมือกับอนุรักษนิยม โดยทิ้งก้าวไกลในการเลือกตั้ง ปี 2570 เพราะไม่มีเหตุผลบังคับว่าใครต้องกลับบ้านอีกต่อไปแล้ว ถึงแม้การจับระหว่างก้าวไกลกับเพื่อไทย จะสวนความรู้สึกประชาชนก็ตาม แม้ตอนนี้ประชาชนจะบอกว่าก้าวไกลตั้งรัฐบาลพรรคเดียวก็ได้

ยิ่งภายใต้รัฐธรรมนูญปี 2560 ที่เป็นฉบับดีไซน์เพื่อพวกเราแล้ว “พรรณิการ์”จึงอ่านเกมว่า แม้พรรคก้าวไกลจะประสบความสำเร็จอีกในการเลือกตั้งปี 2570 แต่ก็ไม่สนับสนุนให้ตั้งรัฐบาลพรรคเดียว เพราะสุ่มเสี่ยงทำให้ถูกมองเป็นเผด็จการรัฐสภา การจับมือกันอีกครั้งระหว่าง “ก๊กก้าวไกล” และ “ก๊กเพื่อไทย” จึงมีโอกาสสูง

ผ่า 3 ก๊กหลังยุบ ‘ก้าวไกล’ - ‘พรรณิการ์’ ถอดสมการ 2 ก๊กพลิกจับมือ

ตัดสิทธิตลอดชีพ ไม่ปิดฉากการเมือง

อย่างไรก็ตาม "พรรณิการ์" ยังตอบกรณีที่เธอถูกตัดสิทธิทางการเมืองตลอดชีวิตจากคำพิพากษาของศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง กรณีเคยโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสถาบัน โดยศาลชี้ว่าเป็นการฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรง

"พรรณิการ์" บอกว่า ประชาชนจำนวนมากก็ไม่ได้รู้สึกอะไรกับคำพิพากษาดังกล่าว

"ผู้มีอำนาจ คิดว่าการตัดสิทธิการเมืองพวกเราจะทำให้เราหยุด เพราะพวกเขาคิดว่าเราคิดเหมือนพวกเขา ก็คือทำงานการเมืองเพื่อตำแหน่งแห่งที่ของเรา อยากเป็น สส. อยากเป็นรัฐมนตรี อยากมีอำนาจ ถ้าพวกแกไม่มีวันเป็น สส. รัฐมนตรีอีกต่อไป จะทำงานการเมืองไปทำไม ใช่ไหมคะ เขาใช้ความคิดแบบเขามาตัดสินพวกเรา"

"ตั้งแต่วันที่ช่อเดินเข้ามาทำงานการเมือง เราต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศ เราพบว่าการเป็นสื่อไม่ตอบโจทย์ เพราะสื่อในสังคม อประชาธิปไตย ทำอะไรไม่ได้ มันถูกปิด ถูกมัดมือมัดเท้าไปหมด กลายเป็นกระบอกเสียงของผู้มีอำนาจทำให้เรารู้สึกอายตัวเองอยู่ทุกวัน"

"ช่อ" บอกต่อว่า "ถามว่าโดนตัดสิทธิ 10 ปี กับตัดสิทธิตลอดชีวิตต่างกันไหม สำหรับดิฉันนะไม่ต่างเลยแม้แต่นิดเดียว ก็โดนตัดสิทธิ 10 ปี คือถามจริง คุณคิดว่าตัวเองสำคัญถึงขนาดที่ว่าโดนตัดสิทธิ 10 ปีไป คุณกลับมาในการเมือง คุณยังคิดว่าคุณเป็นคนสำคัญอีกเหรอ ช่อไม่คิดว่าช่อเป็นคนสำคัญขนาดนั้น การที่คุณโดนตัดสิทธิ 10 ปี  คุณไม่คิดว่า 10 ปีผ่านไป คุณจะกลับมาเป็นนักการเมือง เป็น สส.แล้วคนจะเลือกคุณนะ เวลา 10 ปี มันนานมากนะคะ 1 ทศวรรษ"

"พรรณิการ์" ตั้งคำถามถึงกระบวนการยุติธรรมว่า "การที่นักการเมืองคนหนึ่งจะไม่สามารถทำงานการเมืองต่อได้ มันควรเป็นการตัดสินโดยประชาชน เพราะว่า สส.ได้มาโดยการเลือกตั้ง ถ้าประชาชนไม่เลือก เขาก็สอบตก เขาก็ไม่ได้ทำงาน จบ"

"มันไม่ควรจะมีองค์กรอื่นที่อวดรู้ ถือดีกว่าประชาชน ในการมาตัดสินแทนประชาชนว่า บุคคลคนนี้ไม่ว่าอยากได้เป็น สส.แค่ไหนก็ตาม คุณไม่มีสิทธิ เพราะเราได้ตัดสิทธิเขาไปแล้ว สิ่งนี้มันไม่แฟร์ มันข้ามหน้าประชาชน"

พรรณิการ์

แม้พรรคก้าวไกลจะเป็นพรรคการเมืองแถวสอง ต่อจาก "พรรคอนาคตใหม่" ที่ถูกยุบพรรคไปเมื่อต้นปี 2563 แต่ "พรรณิการ์" กลับมองว่า แม้พรรคอนาคตใหม่จะถูกยุบพรรคไป และต่อมาพรรคก้าวไกลจะประสบความสำเร็จได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งมาเป็นอันดับ 1 เมื่อปี 2566 

แม้พรรคก้าวไกลจะถูกสบประมาทว่าสุดโต่งเกินไป แต่วันนี้ประชาชนไม่ได้ต้องการข้อเสนอที่แก้ปัญหาแบบลูบหน้าปะจมูก แก้เศรษฐกิจหรือปัญหาปากท้องก่อนเท่านั้น 

"ใครที่มองว่า ประเทศไทยมันไม่ไหวหรอก ย้ายประเทศดีกว่า ช่อคิดว่าคุณอาจมองโลกในแง่ร้ายเกินไป ใน 5 ปีที่ผ่านมาเราเห็นความเติบโตงอกงามทางความคิด ของผู้คนเยอะมากๆ ที่เป็นไปในทางที่ก้าวหน้ามากขึ้น" 

"ถ้าเราคิดว่าอยากจะเปลี่ยนสังคมจริงๆ มันพิสูจน์แล้วว่าในสังคมที่ไม่เป็นประชาธิปไตย การเป็นนักข่าวหรืออาชีพอะไรก็ตาม มันถูกสกัดด้วยการเมือง คือ การเมืองไม่ดี อย่างอื่นก็ไม่รู้จะทำยังไง โครงสร้างมมันแย่ระบบมันแย่ ถ้าจะแก้ก็คงต้องเริ่มต้นตอที่การเมือง ก็นำมาสู่การทำงานการเมืองมาจนถึงทุกวันนี้"

"พรรณิการ์" เชื่อว่าความคิดของคนไทยได้เปลี่ยนไปมากกว่าเมื่อครั้งที่พรรคอนาคตใหม่ กำเนิดขึ้นมาจนถึงพรรคก้าวไกลและจะเปลี่ยนไปมากขึ้นเมื่อพรรคก้าวไกลถูกส่งต่อให้พรรคการเมืองรุ่นที่ 3