'จักรภพ เพ็ญแข' กลับไทย-เพื่อถอย แค้นใจ 'ความไม่เป็นธรรม'

'จักรภพ เพ็ญแข' กลับไทย-เพื่อถอย แค้นใจ 'ความไม่เป็นธรรม'

"ไม่สร้างกระบวนการที่เรียกว่า  กระบวนการที่เป็นธรรมให้เราได้สู้คดี เราก็แค้นใจตรงนี้ เราก็เป็นคนเหมือนกัน คุณก็เป็นคนเหมือนกัน ทำไมไม่ทำให้เป็นบรรยากาศที่มันเท่าเทียมกัน" จักรภพ เพ็ญแข

KEY

POINTS

  • "จักรภพ" เข้าสู่กาารเมืองครั้งแรกเต็มตัวในตำแหน่ง "โฆษกประจำสำนักนายกฯ" ในยุครัฐบาลทักษิณ ชินวัตร 1  จากการชักนำของ น.ต.ศิธา ทิวารี
  • หลังการรัฐประหาร 19 ก.ย. 2549 "จักรภพ" ขึ้นเวที นปก. ท้องสนามหลวง ร่วมกับแกนนำเสื้อแดง ขับไล่ คมช.
  • ตำแหน่งสูงสุดของ "จักรภพ" คือ รมต.ประจำสำนักนายกฯ อยู่ได้เพียงไม่กี่เดือน ก็ต้องแสดงสปิริตลาออก เพราะถูกตั้งข้อกล่าวหาในคดี มาตรา 112
  • "จักรภพ"ต้องลี้ภัยออกนอกประเทศ เมื่อปี 2552 ก่อนใช้เวลา 15 ปีเดินทางกลับมา พร้อมประโยคว่า "กลับไปรับใช้ เมืองไทยครับ”
  • น้ำเสียงอันเป็นเอกลักษณ์และการพูด "จักรภพ" ได้ศาสตร์และศิลปะมาจาก "พิชัย วาศนาส่ง" สื่อมวลชนอาวุโสที่ล่วงลับไปแล้ว
  • "จักรภพ" ยึดหลักคิดว่า "ผมเป็นคนชอบประสบการณ์ ไม่ว่าจะสุขหรือจะทุกข์ หรือขึ้นหรือจะลง เป็นคนกระหายประสบการณ์"
  • "สิ่งที่รุนแรงที่สุด บางครั้งจนทำให้ "จักรภพ" เกือบจะทนไม่ไหวคือ ความไม่เป็นธรรม

"ไม่สร้างกระบวนการที่เรียกว่า  กระบวนการที่เป็นธรรมให้เราได้สู้คดี เราก็แค้นใจตรงนี้ เราก็เป็นคนเหมือนกัน คุณก็เป็นคนเหมือนกัน ทำไมไม่ทำให้เป็นบรรยากาศที่มันเท่าเทียมกัน" จักรภพ เพ็ญแข

KeyPoints

  • "จักรภพ" เข้าสู่กาารเมืองครั้งแรกเต็มตัวในตำแหน่ง "โฆษกประจำสำนักนายกฯ" ในยุครัฐบาลทักษิณ ชินวัตร 1  จากการชักนำของ น.ต.ศิธา ทิวารี
  • หลังการรัฐประหาร 19 ก.ย. 2549 "จักรภพ" ขึ้นเวที นปก. ท้องสนามหลวง ร่วมกับแกนนำเสื้อแดง ขับไล่ คมช.
  • ตำแหน่งสูงสุดของ "จักรภพ" คือ รมต.ประจำสำนักนายกฯ อยู่ได้เพียงไม่กี่เดือน ก็ต้องแสดงสปิริตลาออก เพราะถูกตั้งข้อกล่าวหาในคดี มาตรา 112
  • "จักรภพ" ต้องลี้ภัยออกนอกประเทศ เมื่อปี 2552 ก่อนใช้เวลา 15 ปีเดินทางกลับมา พร้อมประโยคว่า "กลับไปรับใช้ เมืองไทยครับ”
  • ลี้ภัยออกจากไทย เพราะอ่านขาดแล้วว่าการต่อสู้ของคนเสื้อแดงไม่สามารถเอาชนะได้
  • น้ำเสียงอันเป็นเอกลักษณ์และการพูด ของ "จักรภพ" ได้ศาสตร์มาจาก "พิชัย วาศนาส่ง" สื่อมวลชนอาวุโสผู้ล่วงลับไปแล้ว
  • "จักรภพ" ยึดหลักคิดว่า "ผมเป็นคนชอบประสบการณ์ ไม่ว่าจะสุขหรือจะทุกข์ หรือขึ้นหรือจะลง เป็นคนกระหายประสบการณ์"
  • สิ่งที่รุนแรงที่สุดในบางครั้งจนทำให้ "จักรภพ" เกือบจะทนไม่ไหวคือ ความไม่เป็นธรรม

 

จักรภพ ตัดสินใจออกจากไทยเมื่อปี 2552  หลังถูกตั้งข้อกล่าวหาในความผิดฐาน อั้งยี่ซ่องโจร หลังศาลได้อนุมัติหมายจับเมื่อวันที่ 7 ม.ค. 2560 โดยมีอายุความ 20 ปี 

ล่าสุด "จักรภพ เพ็ญแข" อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เดินทางกลับไทยในรอบ 15 ปี เมื่อวันที่ 28 มี.ค. 2567 โดยประกาศผ่านโซเชียลมีเดียว่า  "กลับไปรับใช้ เมืองไทยครับ” เดินหน้าเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม และได้รับการประกันตัวด้วยวงเงิน 4 แสนบาท

"จักรภพ" ให้สัมภาษณ์พิเศษ "กรุงเทพธุรกิจ" ถึงคำถามว่า เคยคิดหรือไม่ว่าชีวิตไม่น่าจบด้วยการลี้ภัยออกนอกประเทศถึง 15 ปี ว่า "ไม่มีประโยชน์อะไร ที่จะคิดอย่างนั้น ไม่ขอให้ตัวเองคิดอย่างนั้น"

"เคยดูหนังเรื่อง Bridge of Spies หรือเปล่า ที่ตัวละคร Tom Hanks ช่วยคนที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นสปาย รัสเซีย แล้ว Tom Hanks  จะถามเห็นแกนั่งหน้าสบายเหลือเกิน นี่แกนั่งไม่ทุกข์ร้อนเลยเหรอ ไม่เคร่งเครียดเลยเหรอ แล้วแกจะตอบคำถามที่เป็นประโยคหลักเลยว่า เครียดแล้วช่วยหรือเปล่า ถ้าเครียดแล้วจะเครียดทำไม ค่อยๆ คิดค่อยๆ ตั้งสติ คนชอบ คนชังเป็นเรื่องที่เปลี่ยนแปลงได้ แต่ข้อเท็จจริงไม่เปลี่ยน"

"จักรภพ" หรือ "เอก" เคยผ่านจุดสูงสุดการเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ เมื่อปี 2551 ในรัฐบาลสมัคร  สุนทรเวช เคยเป็นแกนนำคนเสื้อแดง ยุคเริ่มต้นตั้งแต่ แนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) สวมเสื้อเหลืองที่ท้องสนามหลวงหลังรัฐประหารเมื่อปี 2549 

"จักรภพ" ย้ำว่าเวลาที่ผ่านมา "มันถึงเวลาที่ข้อเท็จจริง มันจะมาถึง ถึงวันนั้นค่อยประเมินว่าใครชอบ ใครชัง เรื่องนี้ผมรับได้ ผมคอยได้"

ในวัย 56 ปีของ "จักรภพ" ได้เล่าถึงประวัติตัวเองก่อนเข้าสู่เส้นทางการเมืองว่า เดิมทีเคยรับราชการที่กระทรวงการต่างประเทศ และต่อมาทนความเย้ายวนใจกับการทำหน้าที่สื่อมวลชนไม่ได้ จึงลาออกจากราชการมาตั้งบริษัทตัวเอง เป็นโปรดักชั่น เฮาส์ ในยุคอนาล็อก เพื่อรับจัดรายการโทรทัศน์ รับเป็นผู้ประสานงานให้กับสำนักข่าวต่างประเทศ รวมทั้งยังผลิตผลงานด้านการพิมพ์ หนังสือเล่มด้วย


\'จักรภพ เพ็ญแข\' กลับไทย-เพื่อถอย แค้นใจ \'ความไม่เป็นธรรม\'

เข้าการเมืองโฆษกรัฐบาล- รมต.สายล่อฟ้า

"จักรภพ" เข้าสู่เส้นทางการเมืองเต็มตัวเมื่อตอนอายุเกือบ 40 ปีในยุครัฐบาลทักษิณ ชินวัตร 1 ซึ่งเป็นปลายรัฐบาล 

เขาถูกชักชวนจาก น.ต.ศิธา ทิวารี ที่เคยเป็นโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้มาลองสัมผัสการเป็นโฆษกรัฐบาล

"หลายเสียงตอนนั้น ทั้งตัวนายกฯ ดร.ทักษิณ ชินวัตร ทั้งเลขาธิการนายกฯ ขณะนั้น คือ ท่านยงยุทธ ติยะไพรัช ต่อมาเป็นประธานรัฐสภา น.ต.ศิธา ทิวารี ซึ่งตอนนั้นยังเป็นโฆษกรัฐบาล ตัวเองจะก้าวขึ้นเป็นรองเลขาธิการนายกฯ ก็จะหาคนเป็นมาแทน เผอิญ ผมกับ คุณศิธาไปเจอกันในอภิปรายกองทัพอากาศ ผมเป็นอาจารย์พิเศษกองทัพอากาศมาหลายปี คุณศิธาเป็นทหารอากาศเก่า เป็นนักบินเอฟ-16 รุ่นแรก ก็ไปเจอกัน ปะทะสังสรรค์ทางความคิด เพราะผมตั้งข้อสังเกตว่ารัฐบาลที่มาจากธุรกิจ ก็ไม่ได้แปลว่าจะไม่ได้เป็นเผด็จการนะ แต่เป็นเผด็จการแบบธุรกิจ ซึ่งก็เป็นอีกชนิดหนึ่ง คุณศิธาก็บอกว่าถ้าอย่างนั้นมาร่วมงานกันไหม"

"ผมก็ไปคุยกับผู้ใหญ่หลายคน ก็บอกก็ลองดู ก็ยอมรับว่ามีความเย้ายวนใจที่จะมีอำนาจทางการเมือง เพราะว่า ณ ขณะนั้น ผมสนใจจะมีอำนาจพอที่จะปฏิบัติหน้าที่ของบุคคลสาธารณะ ตามความฝันที่เรามีไว้ อยากให้บ้านเมืองเป็นอย่างนี้ แต่ถ้าเราเป็นนักการเมืองดำรงตำแหน่งทางการเมือง สามารถปฏิบัติให้เกิดผลได้เลย"

\'จักรภพ เพ็ญแข\' กลับไทย-เพื่อถอย แค้นใจ \'ความไม่เป็นธรรม\'

ภายหลังการเลือกตั้งปี 2550 "จักรภพ" ซึ่งผ่านการต่อสู้กับคณะรัฐประหาร ผ่านการเป็นแกนนำ นปก. เขาได้รับการแต่งตั้งจากนายกฯ สมัคร ให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ระหว่าง 6 ก.พ.-30 พ.ค. 2551

ช่วงเวลาดำรงตำแหน่งรัฐํมนตรีเพียงไม่กี่เดือน เขาถูกยกว่า เป็น "รัฐมนตรีสายล่อฟ้า" และต้องตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีในที่สุด

เพราะเขาถูกกล่าวหาในความผิดในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จากกรณีการกล่าวบรรยายเป็นภาษาอังกฤษ เรื่อง ประชาธิปไตยกับระบบอุปถัมภ์ ที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย (FCCT) เมื่อวันที่ 29 ส.ค. 2550 ซึ่งทาง พ.ต.ท. วัฒนศักดิ์ ร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามเมื่อวันที่ 24 มี.ค. 2551 และต่อมาอัยการก็มีคำสั่งไม่ฟ้องคดีดังกล่าวเมื่อปี 2554

"ผมเป็นคนชอบประสบการณ์ ไม่ว่าจะสุขหรือจะทุกข์ หรือขึ้นหรือจะลง มันคือประสบการณ์ทั้งนั้น มันคือประสบการณ์คนละแบบ เป็นคนกระหายประสบการณ์ เพราะฉะนั้น เขาบอกตรงไหนเสี่ยง กระโดดขึ้นไปเลย อยากรู้มันเป็นยังไง เขาบอกว่ามันมีตกนะ ตกแล้วตก แอ้ก...เลยนะ ก็อยากรู้มันเจ็บแค่ไหน เราก็ได้เจ็บจริง"

"จักรภพ" เล่าถึงปรัชญาชีวิตตัวเองว่า "อยากมีชีวิตที่มันคุ้ม ผมมีนักเขียนที่ชอบหลายคน ทั้งไทยและฝรั่ง แต่คนที่ชอบที่สุดคือ Ray Bradbury  เป็นนักเขียนนิยายเชิงแฟนตาซี เชิงจินตนาการ แล้วแกพูดอยู่คำหนึ่ง ไม่รู้จะฟังแล้วกลายเป็นปรัชญาชีวิตไปเลย แกบอกว่า กระโดดไปก่อนแล้วเอาปีกกางทีหลัง ซึ่งฟังเหมือนประมาทนะ"

"ความหมายของ  Ray Bradbury คือว่า คนเราถ้าวางตัวอยู่ในเซฟโซน ความสบายตลอดกาล พอถึงจุดหนึ่งบางทีมันไม่รู้ตัวเองคือใคร มันต้องกั้นหน้ากั้นหลังว่าเราทนได้แค่ไหน บางทีถ้าเราไม่เคยพลัดพราก เราก็ไม่เคยรู้คุณค่าของสิ่งที่เรามี"

ทนไม่ไหวที่สุด ความไม่เป็นธรรม

"จักรภพ" บอกว่า  เมืองไทยเราไม่เคยขัดแย้งขนาดนี้มาก่อน แต่ดีใจที่เราได้อยู่ตรงนั้น แทนที่เราจะเป็นเพียงผู้สังเกตการณ์ภายนอก อยากอยู่ในวง คือ ขอให้เป็นตัวละคร ขอให้มีประสบการณ์ตรง ขอให้บอกได้ว่าวันนั้น เรารู้สึกแบบนี้ เรารู้สึกแบบหนึ่ง

ถามว่า จิตใจของคุณจักรภพ ต้องเจอแรงปะทะหลายอย่างทั้งสื่อมวลชน ประชาชน ม็อบหรือแม้แต่ถูกฟ้องคดีมาตรา 112  สิ่งที่ "จักรภพ" สะท้อนความรู้สึกจากใจออกมาคือ สิ่งที่รุนแรงที่สุด บางครั้งเกือบจะทนไม่ไหวเลยคือ ความไม่เป็นธรรม

"ไม่สร้างกระบวนการที่เรียกว่า  กระบวนการที่เป็นธรรมให้เราได้สู้คดี เราก็แค้นใจตรงนี้ เราก็เป็นคนเหมือนกัน คุณก็เป็นคนเหมือนกัน ทำไมไม่ทำให้เป็นบรรยากาศที่มันเท่าเทียมกัน"

"จักรภพ" ระบุว่า เขาตัดสินใจไม่นานที่่จะต้องลาออกจากรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ 

"ฝ่ายเรามาขอให้ลาออกเพื่อลดแรงกดดันต่อผู้ใหญ่ในฝ่ายเรา ก็เป็นเรื่องที่พอเข้าใจได้ แต่กลับมาที่เดิมอีก ก็รู้สึกถึงความไม่เป็นธรรม ตรงนี้เจ็บปวดที่สุดคือความไม่เป็นธรรม ถ้ามันเป็นธรรมแล้ว เจ็บก็ทนได้

เหตุที่ตัดสินใจต้องเดินทางออกนอกประเทศ เพื่อลี้ภัยทางการเมือง เมื่อปี 2552 ซึ่งเป็นช่วงรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ตลอด 15 ปีของการลี้ภัย ได้ย้ายประเทศมาแล้วทั้งหมด 5 ประเทศ

\'จักรภพ เพ็ญแข\' กลับไทย-เพื่อถอย แค้นใจ \'ความไม่เป็นธรรม\'

"จักรภพ" บอกว่า แม้ตัวเองจะเป็นแกนนำ นปช. เมื่อปี 2552 แต่เขามองว่า การต่อสู้ของคนเสื้อแดงในเวลานั้นคือจบแล้ว ไม่สามารถต่อสู้เพื่อเรียกร้องอะไรได้

"ผมอ่านขาดแล้วว่า (นปช.) สู้ในประเทศไม่ได้ และเราอาจเป็นอันตรายเมื่ออยู่ในประเทศต่อไปว่าเราคิดแบบนี้ ก็เลยตัดสินใจไปอยู่นอกประเทศ"

"ตอนนั้นทุกคนเริ่มมองเห็นแล้วว่าทั้งสองฝ่ายเริ่มเห็นแล้วว่าไม่มีทางที่จะลง ความรุนแรงทางการเมือง มันจะเกิดขึ้นต่อเมื่อทุกคนเห็นว่าไม่มีทางออก

"ต้า วันเฉลิม" ไม่ยุ่งการเมืองแล้วก่อนถูกอุ้ม

เมื่อถามถึงกรณีที่คุณจักรภพเคยลี้ภัยอยู่ที่ประเทศกัมพูชา ได้สัมผัสและคุ้นเคยกับ "ต้าร์" วันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ ที่ถูกอุ้มหายไปหรือไม่ "จักรภพ" ตอบว่า รู้จักกับต้าร์เป็นนอย่างดี ต้าร์ วันเฉลิม เป็นน้องน่ารักที่สุดคนหนึ่ง มีความสามารถ มีทักษะ ทางด้านการบริหารจัดการ ทางด้านจินตนาการ ทางด้านการจัดการ เป็นคนที่พร้อม ต้าร์เป็นคนกึ่งอัจฉริยะคนหนึ่ง แต่ขณะเดียวกัน เขามีบุคลิกส่วนตัวเป็นคนขี้เล่น 

"ตอนที่ต้าร์ ถูกอุ้มหายไป เขาไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเมืองแล้ว เราไม่ได้สัมพันธ์เกี่ยวข้องกันมา 5 ปี ก่อนเขาจะหายไป ก่อนหน้านั้นติดต่อกันมาก คุยการเมืองตลอดเวลา เวลาพาแขกจากเมืองไทยไปเจอกันในประเทศใกล้เคียง พอหลังจากนั้นไม่ได้เจออีกเลย ตอนหลังๆ ต้าร์ ก็สนใจแต่โครงการธุรกิจ เขาไม่ได้มีการเมืองในหัวเขาแล้วนะ"

"จักรภพ" เข้าใจว่าเหตุที่ "วันเฉลิม" ถูกอุ้มหายไปเพราะชื่อของเขายังอยู่ในรายชื่อของกลุ่มคนที่เป็นภัยคุกคามทางด้านการเมือง แต่รายชื่อชอง "วันเฉลิม" ไม่ได้มีการปรับให้ทันสมัย ทำให้เขาถูกอุ้มหาย ทั้งที่ "วันเฉลิม" หลุดจากวงจรการเมืองไปนานแล้ว

"จักรภพ" บอกว่า ถ้าเขารู้ว่า "ต้าร์" จะถูกปองร้าย เขาจะต้องหาทางช่วย "วันเฉลิม" อย่างแน่นอน

"ที่ต้าร์ถูกอุ้มหายไปนี่จะด้วยเหตุใดก็ตาม เพราะไม่มีพวกเราที่รู้เลยว่า ต้าร์อยู่ในอันตราย ไม่มีสัญญาณ ตัวเขาเองยังไม่รู้เลย ถ้ารู้ต้องหาทางให้ปลอดภัยแล้ว เพราะพวกเราที่อยู่ในต่างประเทศ แม้จะไม่ได้เป็นสายเดียวกัน หรือกลุ่มเดียวกัน แต่เราดูแลสวัสดิภาพซึ่งกันและกัน

"จักรภพ" บอกว่าตัวเองก็ได้รับสัญญาณเตือนจากแหล่งข่าวระดับสูงถึงการหมายปองเอาชีวิตเฉกเช่นเดียวกับ "วันเฉลิม"  ทำให้ "จักรภพ" ต้องออกจากกัมพูชา

เมื่อถามว่า มีเสียงบอกทำนองว่าคุณจักรภพได้รับสัญญาณมาก่อนก็เลยออกจากกัมพูชาไปก่อน  เพื่อไม่ให้ถูกอุ้มฆ่า  "จักรภพ" ปฏิเสธทันทีว่า "ไม่ใช่ครับ ต้าร์ ถูกอุ้มไปก่อน ผมออกทีหลัง ตอนที่ต้าร์ถูกอุ้ม ผมยังอยู่กัมพูชา จนกระทั่งเกิดเรื่องต้าร์  แล้วทุกคนก็งง ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ถึงได้ย้อนกลับไป ถึงได้เห็นสัญญาณ"

"ผมเองก็อยากเจอพี่สาวของต้าร์ เหมือนกันนะ บอกตรงนี้ก็ได้ ถ้าวันหลังเขาว่างอยากจะเจอ อยากจะคุยให้ฟัง ว่าผมเจออะไรบ้าง ผมเข้าใจจิตใจเขา คนเราที่รู้ว่าครอบครัวญาติพี่น้อง ขอประทานโทษนะ ถ้ารู้ว่าล้มหายตายจากไป มันใช้เวลาช่วงหนึ่งทำใจได้ แต่ถ้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น สูญหายไปเฉยๆ   มันตกนรกทั้งเป็น"

\'จักรภพ เพ็ญแข\' กลับไทย-เพื่อถอย แค้นใจ \'ความไม่เป็นธรรม\'

 

"พิชัย วาศนาส่ง" ผู้ถ่ายทอดน้ำเสียงเป็นเอกลักษณ์


ถามถึง น้ำเสียงที่ได้เป็นเอกลักษณ์ โดยเฉพาะเวลาเป็นผู้ประกาศออกโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจฯ เรียนรู้และได้ศาสตร์ตรงนี้มาจากไหน "จักรภพ" ตอบว่า "ผมมีครู ครูของผมคือ อาจารย์พิชัย วาศนาส่ง (เสียชีวิตแล้ว) ซึ่งคนอายุเกิน 40 ปีขึ้นไปน่าจะจำชื่อได้ เป็นสื่อมวลชนอาวุโสมากในครั้งนั้น มีความชำนาญในหลายเรื่อง"

"ท่าน (พิชัย วาศนาส่ง)  เป็นนักวิเคราะห์ข่าวต่างประเทศที่เก่งมาก ในยุคนั้นต่างจากยุคนี้ ข้อมูลในสื่อมีน้อย ดังนั้น นักวิเคราะห์ข่าวในยุคนั้นต้องเป็นนักเล่าเรื่องที่ดี เริ่มต้นต้องเล่าเรื่องก่อนแล้ว ยูเครนอยู่ตรงไหน รัสเซียอยู่ตรงไหน"

"จักรภพ" ย้อนความทรงจำในวัยที่กำลังศึกษาอยู่คณะรัฐศาสตร์ สาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จุฬาฯ เมื่อครั้งได้วิชาจาก "พิชัย" ขณะที่เขากำลังจัดรายการวิเคราะห์ข่าวทางวิทยุของ จุฬาฯ ซึ่ง อาจารย์ปทุมพร วัชรเสถียร อาจารย์ประจำภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ในขณะนั้น  ซึ่งปัจจุบันเสียชีวิตไปแล้ว อาจายร์ปทุมพร สนิทกับอาจารย์พิชัย

"อาจารย์พิชัยก็ถามอาจารย์ปทุมพรว่า ตุ้ง เด็กที่มาออกรายการคนนี้เป็นใคร เขาบอกชื่อเอก ชื่อจักรภาพค่ะ อยากเจอ ผมก็ไปกราบที่บ้านเมืองเอก สมัยนั้น หลังจากนั้นท่านก็รับเป็นลูกศิษย์เรื่อยมา  เหมือนพระเจ้าตาเลย เหมือนแบบโบราณเลย ผมก็ไปหาท่านทุกวันอาทิตย์ ไปหาไม่ใช่ไปเรียนนะ ไปกินข้าวกับท่าน ไปช่วยค้นหนังสือ ไปจัดของ แบบลูกศิษย์โบราณ ระหว่างนั้นท่านก็สอน ที่ถามเรื่องการใช้เสียงก็มาจากอาจารย์พิชัย"

"จักรภพ" ได้การใช้น้ำเสียงเวลาจัดรายการผ่านสื่อมาจากอาจารย์พิชัย

"การใช้เสียง เราต้องคิดถึงผู้ฟังของเราเป็นสำคัญ ถ้าเราเหนื่อย ผู้ฟังจะเหนื่อย แล้วไม่มีความอดทนที่จะฟังเราให้ถึงที่สุดหรอก  ถ้าเสียงเราน่ารำคาญ ถึงจะเป็นเอกลักษณ์ของเรายังไง คนฟังก็อยู่กับเราไม่ตลอดรอดฝั่ง"

"อาจารย์พิชัย ตัวท่านเองมีรายการวิเคราะห์ ดนตรีคลาสสิก เชื่อไหมมีคนวิจารณ์ในยุคนั้นว่าเสียงท่านเพราะ เท่าๆ กับดนตรีที่ท่านเอามาเล่น คือดนตรีเพราะ เสียงคนบรรยายก็เพราะ แต่เสียงท่านเพราะกว่าเสียงผม"

"จักรภพ" ในฐานะศิษย์รักของ "พิชัย" บอกว่าหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจต่างๆ เขาจะหาจังหวะเข้าไปกราบภรรยาของอาจารย์พิชัย

ไม่ปิดโอกาสเข้าสู่การเมือง กลับไทยเพื่อถอย

เมื่อถามว่า การกลับมาประเทศไทย ด้วยคำว่า "รับใช้เมืองไทย" และมีจุดสูงในชีวิตจากนี้อย่างไร "จักรภพ" ตอบว่า ทางไหนที่มีประโยชน์เอาทั้งนั้น 

"หนึ่ง ผมคิดว่าทำงานวิชาการได้ สอง ทำงานการเมืองได้ สาม ทำงานด้านภาษาได้ สี่ทำงานด้านการต่างประเทศได้ อย่างน้อย 4 พื้นที่นี้  เอาล่ะ ใครจะเอาไปใช้ประโยชน์ก็ใช้ทั้งนั้น ที่เหลือต่อไปเป็นเรื่องของการทำให้เป็นประโยชน์ต่อคนอื่น ที่คิดว่าเราไปเสริมเขาได้"

จักรภพ เพ็ญแข

ถ้ามีโอกาสจะเข้าสู่แวดวงการเมืองเหมือนในอดีตหรือไม่ "จักรภพ" ตอบทันทีว่า "เข้าสิครับ เข้าแบบไม่ได้กระเหี้ยนกระหือรือลงย่อตัวเตรียมวิ่ง เข้าการเมือง ไม่ถึงขนาดนั้นนะ แต่หมายความว่าไม่ปฏิเสธอะไรทั้งนั้น ให้ทำอะไรก็ทำ แต่ขอเวลาให้ตัวเองได้คิดว่าตำแหน่งนั้น หน้าที่นั้น มันตรงกับที่เราต้องการไหม แล้วที่สำคัญเราเข้าไปเพิ่มปัญหาหรือเราเข้าไปแก้ปัญหา ถ้าเพิ่มปัญหาไม่เอา"

"การกลับครั้งนี้เป็นการถอยนะ เป็นการถอย แต่ผมไม่มีหน้าที่จะต้องเสีย ผมเอาภารกิจเป็นหลัก"

"จักรภพ" ย้ำว่าการได้กลับคืนสู่แผ่นดินเกิด ในรอบ 15 ปี ทำให้เขาดีใจมาก รู้สึกว่าอะไรก็สวยงามไปหมด

"ตอนนี้อย่าเพิ่งถามเมืองไทยดีไหม เพราะอะไรดีไปหมด เนื่องจากมันไม่เห็นนาน อาหารอร่อยทุกชนิด" นี่คือความสุขของผู้พลัดพรากบ้านเกิดไปถึง 15 ปี