‘พิธา-อุ๊งอิ๊ง’ กุมอนาคตการเมือง คนหนึ่งดาวร่วง อีกคนดาวโรจน์

‘พิธา-อุ๊งอิ๊ง’ กุมอนาคตการเมือง คนหนึ่งดาวร่วง อีกคนดาวโรจน์

เหมือนรู้ชะตาตัวเอง และรุกในถอยของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ก็นับว่าน่าสนใจ

“ผมไม่เคยเสียใจว่าการอภิปรายในครั้งนี้ อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตการเมืองของผม ก็ไม่ใช่เป็นเรื่องความลับอะไร ทุกคนทราบดีอยู่ว่าชีวิตทางการเมืองของผมตอนนี้แขวนอยู่บนเส้นด้าย แต่ผมพร้อมที่จะเดินจากไปอย่างผู้ชนะ ไม่ได้มีอะไรติดค้างใจต่อไป...”

นอกจากนี้ “พิธา” กล่าวว่า “อย่างที่ได้เห็นเพื่อนส.ส.ข้างๆ ผม อยู่รอบตัวผม ก็รู้สึกเบาใจ ไม่ได้ค้างคาใจอีกต่อไป และผมก็มั่นใจว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับพรรคผม การยุบพรรคไม่ได้ทำให้การเดินทางของประเทศไทยเปลี่ยนแปลง ยิ่งยุบ ยิ่งทำให้เราไปถึงเส้นชัยได้เร็วมากขึ้นด้วยซ้ำไป”

ทั้งนี้อาจเนื่องมาจากศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งรับเรื่อง “ยุบพรรคก้าวไกล” จาก คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เอาไว้วินิจฉัย นั่นเอง 

โดยสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ เผยแพร่ความคืบหน้าคดีที่ กกต.ขอให้ศาลฯพิจารณาวินิจฉัยเพื่อมีคำสั่งยุบพรรคก้าวไกล(3 เม.ย.67) มีเนื้อหาว่า 

คณะกรรมการการเลือกตั้ง (ผู้ร้อง) โดยนายทะเบียนพรรคการเมืองยื่นคำร้องกรณีมีหลักฐานอันควรเชื่อว่าพรรคก้าวไกล (ผู้ถูกร้อง) มีพฤติการณ์กระทำการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

และเข้าลักษณะกระทำการอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข อันเป็นเหตุแห่งการยุบพรรคผู้ถูกร้องตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 92 วรรคหนึ่ง (1) และ (2) ซึ่งข้อเท็จจริงปรากฏตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 3/2567

จึงขอให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคผู้ถูกร้อง เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของบุคคลผู้เป็นคณะกรรมการบริหารพรรคผู้ถูกร้อง และห้ามมิให้ผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งคณะกรรมการบริหารพรรคผู้ถูกร้องและถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งไปจดทะเบียนพรรคการเมืองขึ้นใหม่หรือเป็นกรรมการบริหารพรรคการเมืองหรือมีส่วนร่วมในการจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นใหม่ภายในกำหนด 10 ปี นับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคผู้ถูกร้อง ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 92 วรรคสอง และมาตรา 94 วรรคสอง

ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาโดยการอภิปรายแล้วเห็นว่า เป็นกรณีที่ผู้ร้องมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าพรรคผู้ถูกร้องกระทำการตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 92 วรรคหนึ่ง (1) และ (2) ศาลรัฐธรรมนูญจึงมีคำสั่งรับคำร้องนี้ไว้พิจารณาวินิจฉัยตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 7 (13) ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 92 วรรคหนึ่ง แจ้งให้ผู้ร้องทราบ และส่งสำเนาคำร้องให้พรรคผู้ถูกร้องยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาต่อศาลรัฐธรรมนูญภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับสำเนาคำร้อง ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 54

ก่อนหน้านี้ นักกฎหมายหลายคน รวมทั้งพรรคก้าวไกล แอบมีความหวังอยู่บ้าง กรณีตีความคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ คดีล้มล้างการปกครองฯ ที่สั่งให้หยุดการกระทำไปแล้วนั้น จะไม่รับวินิจฉัยซ้ำอีก หรือ ไม่รับเรื่อง “ยุบพรรค” จาก กกต. แต่เมื่อศาลรัฐธรรมนูญ รับคำร้อง กกต. ถือว่าผิดคาด และมีโอกาสสูงที่พรรคก้าวไกล จะถูกยุบ เพราะศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเอาไว้เอง ว่ามีความผิดล้มล้างการปกครองฯ 

นี่ยังไม่นับความผิดจริยธรรมร้ายแรง 44 ส.ส.พรรคก้าวไกล ซึ่งบางส่วนเป็นกรรมการบริหารพรรค รวมถึง “พิธา” ที่ร่วมลงชื่อเสนอแก้ไข ป.อาญา ม.112 คำร้องก็อยู่ใน “ป.ป.ช.”(คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ) เรียบร้อย โดยมีโทษหนักถึงขั้นตัดสิทธิทางการเมืองตลอดชีวิตเลยทีเดียว 

เห็นได้ชัดว่า ชะตาชีวิตของ “พิธา” แขวนอยู่บนเส้นด้าย การถูกตัดสิทธิทางการเมือง 10ปี และตลอดชีวิต จะรอดหรือไม่ 

ขณะที่ “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวคนเล็กของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และผู้มากบารมีในพรรคเพื่อไทย ถ้าฟังวีดิทัศน์สัมภาษณ์ “ทักษิณ” ที่นำมาเปิด ในที่ประชุมใหญ่สามัญประจำปีพรรคเพื่อไทย (5 เม.ย.67) เห็นได้ชัดว่า ชะตามีแต่รุ่งกับพุ่งแรง เพราะ “ทักษิณ” ออกแรงหนุนสุดตัว โดยกล่าวถึง “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ว่า 

“สำหรับอิ๊งค์ ผมมั่นใจว่า จะสามารถนำทีมพลิกเกมได้ไม่ยาก เป็นดีเอ็นเอระหว่างคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ กับผม ผสมกันเป็น อิ๊งค์ คือเอาส่วนเข้มแข็ง อดทน เด็ดขาดมาจากคุณหญิงพจมาน และเขาเอาส่วนที่พบปะผู้คน เข้าใจการเมืองมาจากผม และเชื่อว่าเขาเป็นผู้นำที่ดีได้ ไม่ใช่มาเชียร์ลูก แต่ในเมื่อผมทำได้ ดีเอ็นเอผมก็ต้องทำได้และทำได้ดีกว่าด้วย”

นอกจากนี้ ทั้ง “ทักษิณ” และ “อุ๊งอิ๊ง” ยังออกมา “สยบ” กระแสโจมตีเพื่อไทย เป็น “พรรคอนุรักษนิยมใหม่” ในคราวเดียวกัน หรือรุกกลับคู่แข่งทางการเมือง 

“พรรคเพื่อไทยจริงๆ สร้างมาจากไทยรักไทย เป็นพรรคที่รีฟอร์มหรือเป็นพรรคผู้นำในการเปลี่ยนแปลง ถ้าจำได้พรรคไทยรักไทยเริ่มเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ระบบประกันสุขภาพ การเอาเงินจากเมืองหลวงกลับไปสู่ชนบท กระจายเงินออกไป และเรื่องการดูแลสินค้าเกษตร ทุกเรื่องเป็นเรื่องใหม่หมดที่ไทยรักไทยทำ และพรรคเพื่อไทยก็ทำมาต่อเนื่อง ซึ่งในวันนี้พรรคเพื่อไทยก็กำลังจะทำดิจิทัลวอลเล็ต โคตรใหม่ ไม่ใช่ใหม่ธรรมดา...” ทักษิณ กล่าว 

“พรรคไทยรักไทยได้ส่งต่อการเปลี่ยนแปลงจนมาถึงพรรคเพื่อไทย เราคือพรรคปฏิรูปที่ทำให้ประเทศไทยเจริญก้าวหน้าด้วยนโยบาย โดยมีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ หลังจากวันนี้วันที่งบประมาณผ่านแล้ว ดิฉันเชื่อมั่นว่า รัฐบาลภายใต้การนำของนายเศรษฐา จากที่วิ่งเร็วอยู่แล้ว จะเร็วขึ้นอีก...” “อุ๊งอิ๊ง” กล่าว 

เมื่อเป็นเช่นนี้ ประเด็นที่น่าจับตามอง สำหรับพรรคเพื่อไทย ก็คือ จังหวะเวลาที่ “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร จะได้เป็นทั้งผู้นำพรรคเพื่อไทย และผู้นำรัฐบาลควบคู่กัน โดยเปลี่ยนผ่านจากรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน มาเป็นรัฐบาล “อุ๊งอิ๊ง” แบบไม่ต้องลุ้นอะไรมาก เพราะ “ทักษิณ” ออกแรงหนุนและการันตีขนาดนี้แล้ว 

อย่างไรก็ตาม แม้ว่า ชะตากรรมของ “พิธา” จะมีแต่ร่วงกับร่วง มาตั้งแต่ชนะเลือกตั้งได้ส.ส.เข้าสภาฯอันดับ 1 ได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ไม่ผ่านการโหวตของรัฐสภา ต่อมาถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ เนื่องจากรับเรื่องถือหุ้นสื่อ(ไอทีวี)เอาไว้วินิจฉัย และแม้ว่า จะรอดคดีถือหุ้นสื่อ แต่ก็ไม่รอดคดีเสนอแก้ไข ป.อาญา ม.112 เข้าข่ายล้มล้างการปกครองฯ และกำลังจะถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสิน “ยุบพรรค” หรือไม่

แต่สำหรับกระแสความนิยมส่วนตัวของ “พิธา” และกระแสพรรคก้าวไกล ปรากฏว่า สวนทางกับชะตาชีวิตอย่างมาก โดยเฉพาะ “นิด้าโพล” พบว่า ประชาชนสนับสนุนเป็นนายกรัฐมนตรี สูงถึง 42.75% ทิ้งห่าง นายเศรษฐา ที่ได้อันดับ 3 ร้อยละ 17.75 ทิ้งไม่เห็นฝุ่นอันดับ 4 น.ส.แพทองธาร ได้ร้อยละ 6.00 ส่วนพรรคการเมืองที่ประชาชนสนับสนุน พบว่าพรรคก้าวไกลยังคงครองอันดับหนึ่งด้วยคะแนนร้อยละ 48.45 ในขณะที่พรรคเพื่อไทยได้ร้อยละ 22.10 ยิ่งเห็นชัด เพราะมีแต่พุ่งสูงติดลมบน และทิ้งห่าง “เศรษฐา-อุ๊งอิ๊ง” อย่างน่าตกใจ 

นั่นแสดงให้เห็นว่า กระแสความนิยมของประชาชน ที่มีต่อพรรคก้าวไกล ไม่ได้ลดลงแม้แต่น้อย แม้ว่า พรรคก้าวไกลจะต้องคดีที่มีความอ่อนไหวต่อความจงรักภักดีของคนไทยก็ตาม

เรื่องนี้ ด้านหนึ่ง เป็นไปได้ว่า กระแสในโลกโซเชียลมีบทบาทนำกระแสสังคมไทยมากขึ้น ซึ่ง ต้องยอมรับ ที่ผ่านมาพรรคก้าวไกล สามารถใช้สื่อสังคมออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในการสร้างกระแสความนิยม 

อีกด้านหนึ่ง ความค้างคาใจที่พรรคก้าวไกล ชนะเลือกตั้งมาเป็นอันดับ 1 แต่ “พิธา” ถูกกีดกันจากส.ว. เครือข่ายผู้มีอำนาจจำนวนหนึ่ง ไม่ให้ได้รับตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรี” และไม่ได้เป็นรัฐบาล จึงไม่ว่าจะมีคำอธิบายต่างๆนานาถึงสาเหตุที่เกิดขึ้น แต่คะแนนสงสารก็มาก่อนเสมอ

แล้วก็ไม่แปลก ที่คำว่า “ตายสิบ เกิดแสน” ที่ “ก้าวไกล” พยายามจะปลุกกระแสต่อต้าน “ยุบพรรค” ให้เห็นว่า ยิ่งยุบ ก็ยิ่งโต มีพื้นฐาน “ความไม่เป็นธรรม” กับพรรคก้าวไกล รองรับอยู่แล้ว หากยุบพรรคเกิดขึ้นวันใด คะแนนสงสารก็อาจเทมาที่พรรคก้าวไกล โดยไม่สนใจว่า ใครเป็นหัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารพรรค ก็เป็นได้ 

ยิ่งกว่านั้น การเลือกตั้งครั้งหน้า ไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว และหรือครบเทอม พลังบวกของคะแนนที่พรรคก้าวไกลจะได้รับ จะไม่เพียงคะแนนสงสารเท่านั้น หากแต่ยังอาจรวมถึงความผิดพลาด ในการบริหารประเทศของรัฐบาลเพื่อไทยด้วย

ขณะเดียวกัน ด้าน “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ที่ต้องยอมรับว่า แม้ดวงชะตาชีวิตจะรุ่งโรจน์ทางการเมืองอย่างยิ่ง โดยใช้เวลาแค่ข้ามปี ก็ก้าวกระโดดขึ้นตำแหน่งหัวหน้าพรรคเพื่อไทยได้ 

และแม้ สถานการณ์ทางการเมืองหลายอย่างจะได้เปรียบ นับแต่พรรคเพื่อไทยได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล สามารถผลักดันนโยบายรัฐบาลที่เป็น “เรือธง” ของพรรคเพื่อไทยได้ แต่ศึกหนักที่ “อุ๊งอิ๊ง” จะต้องเจอคือ กระแสนิยมที่ติดลมบนของ “พิธา”(ต่อให้ถูกตัดสิทธิทางการเมือง) และพรรคก้าวไกล(ต่อให้ถูกยุบพรรคส.ส.ย้ายไปอยู่พรรคใหม่) มีทางเดียวที่ “อุ๊งอิ๊ง” และพรรคเพื่อไทย จะสู้ได้ คือ ซื้อใจประชาชนให้ได้มากที่สุด 

ดังนั้น ไม่แปลก ที่พรรคเพื่อไทย จะดันนโยบายแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่นบาท ซึ่ง ครอบคลุมประชาชนนับ 50 ล้านคน อย่างสุดลิ่มทิ่มประตู เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ต่อให้ป.ป.ช. อดีตผู้ว่าฯแบงก์ชาติ และนักเศรษฐศาสตร์ จะออกมาเตือน ให้ระวังผิดกฎหมายการเงินการคลัง และไม่กระตุ้นเศรษฐกิจ ก็ตาม เพราะมันคือ ตัวตัดสิน “แพ้-ชนะ”ช่วงเลือกตั้งนั่นเอง

จับตาให้ดี “พิธา” ประกาศเดินจากไปอย่างผู้ชนะ เพราะเชื่อว่า เมล็ดพันธุ์ที่ตัวเองเพาะไว้กับสังคมไทย ไม่มีวันจะหยุดงอกงาม ขณะที่ “อุ๊งอิ๊ง” พลังหนุนทุกทางแน่นปึก เหลือก็แต่กระแสที่ยังเป็นรอง ใครจะสร้างปรากฏการณ์ได้ดีกว่ากัน 

เชื่อว่า “อุ๊งอิ๊ง-เพื่อไทย” คงไม่อยากให้มีเลือกตั้งเร็วๆนี้อย่างแน่นอน!?