“อุ๊งอิ๊ง” บนเส้นทางสู่อำนาจ “ทักษิณ” ปูด้วยกลีบกุหลาบ

“อุ๊งอิ๊ง” บนเส้นทางสู่อำนาจ “ทักษิณ” ปูด้วยกลีบกุหลาบ

ไม่เพียงจังหวะก้าวของ นายทักษิณ ชินวัตร หลังจากได้รับ “พักโทษ” จากกรมราชทัณฑ์ เท่านั้นที่ถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะบทบาทกำกับอยู่หลังฉากรัฐบาลเศรษฐา ทวีสินจะเกิดขึ้นหรือไม่

หากแต่จังหวะก้าวของ “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะลูกสาวคนเล็กและทายาททางการเมืองของ “ทักษิณ” ก็ถูกจับตามองไม่แพ้กัน

ยิ่งล่าสุด (22 มี.ค.67) ที่สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ(สปท.) “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ไปร่วมพิธีปฐมนิเทศหลักสูตร การป้องกันราชอาณาจักรสำหรับผู้บริหารแห่งอนาคต(วปอ.บอ.) รุ่นที่ 1 หรือ ที่เรียกกันว่า “มินิ วปอ. รุ่นที่ 1” หลังจากเป็นที่ฮือฮามาก่อนหน้านี้แล้ว ว่า “อุ๊งอิ๊ง” มีชื่อ 1 ใน 150 คนที่ได้เข้าเรียน

และยิ่ง “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร เป็น 1 ใน 3 คนที่ได้รับแต่งตั้งเป็น “คณะที่ปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิ” หรือ “ซุปเปอร์บอร์ด” ของรุ่น โดยอีก 2 คน คือ ดร.อิสระ เสรีวัฒนวุฒิ รองเลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า และ นายคณาพจน์ โจมฤทธิ์ หรือ “ดร.เอิง” คณะทำงานนายกรัฐมนตรี เพื่อนสนิทของน.ส.แพทองธาร ยิ่งน่าจับตามองเข้าไปใหญ่

สำหรับหลักสูตรนี้ ระบุวัตถุประสงค์สำคัญ 5 ข้อ แต่ที่น่าสนใจ คือ ข้อ 1 ระบุว่า เพื่อมุ่งส่งเสริมให้ผู้บริหารรุ่นใหม่ ทั้งจากส่วนราชการภาคเอกชน และบุคคลทั่วไปมีจิตสำนึกตระหนักถึงภัยคุกคามในมิติต่างๆ ที่มีผลต่อความมั่นคงแห่งชาติ และเข้ามามีบทบาทหรือมีส่วนร่วม หรือ ให้การสนับสนุนภาครัฐที่เกี่ยวข้องในการบริหารจัดการปัญหาที่กระทบต่อความมั่นคงในขอบเขตที่พึงกระทำได้

นอกจากนี้ แม้ว่าคนที่ได้เข้าเรียนจะประกอบไปด้วยหลายภาคส่วน แต่ที่ถือว่า เป็น “ไฮไลท์” จริงๆ อยู่ที่ นายทหาร-ตำรวจ ทายาทนักการเมือง และนักธุรกิจตระกูลดังนั่นเอง

จึงไม่แปลก ที่ “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร จะตอบอย่างไม่ลังเล ตั้งแต่การสอบสัมภาษณ์แล้วว่า มาเรียนหลักสูตรนี้ เพื่อหา “คอนเนคชั่น”

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า การมาหาคอนเนคชั่น จะถูกโจมตีว่าทำเพื่อเรื่องส่วนตัว “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร กล่าวว่า ทุกคอร์ส ทุกคนก็มาเรียนเพื่อประโยชน์ของตัวเอง และประโยชน์เพื่อใด ๆ ของคนที่เรารัก และแคร์ ทุกคนก็เป็นอย่างนั้น และไม่ใช่เรื่องน่าแปลก ว่ามาแล้วจะได้ผลประโยชน์ ยังไม่ได้ไปโกงกินใคร เรามาแล้วได้ประโยชน์ก็เป็นสิ่งที่ดี ถ้ามาแล้วไม่ได้อะไรเลยเราจะมาทำไม เพราะฉะนั้น มาก็ต้องได้ประโยชน์ และไม่เป็นไร หวังว่าคอร์สนี้ทุกคนจะได้ประโยชน์จากอะไรก็ตามในที่เรียน

ที่น่าย้อนให้เห็น ก็คือ บันไดแต่ละขั้นของ “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ในการไต่สู่ตำแหน่งทางการเมือง เหมือนถูกวางแผนเอาไว้เป็นอย่างดี เป็นขั้นเป็นตอน ดูทิศทางลม ไม่ยอมให้เปลืองตัว หรือมีบาดแผลให้ถูกโจมตีตั้งแต่เริ่มต้น จนอาจพูดได้ว่า ฟูมฟักมาเหมือนไข่ในหินก็ว่าได้ และคนที่อยู่เบื้องหลัง ก็ไม่มีใครนอกจาก “ทักษิณ” นั่นเอง

 

“อุ๊งอิ๊ง” ถือฤกษ์เปิดตัวเข้าสู่การเมืองครั้งแรก นั่งตำแหน่งใหญ่ ประธานที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม พรรคเพื่อไทย ใจกลางเมืองหลวงภาคอีสาน กลางเวทีประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2564 ของพรรคเพื่อไทย(28 ต.ค.64) ที่ศูนย์ประชุมและจัดแสดงสินค้านานาชาติจังหวัดขอนแก่น

โดย “อุ๊งอิ๊ง” ยก 3 เรื่องที่อยากปฏิรูป คือ 1. การศึกษา 2. เทคโนโลยี ให้เข้าถึงมากกว่านี้ 3. จะต้องส่งเสริม Soft Power อย่างจริงจัง

ต่อมา “อุ๊งอิ๊ง” กระชับอำนาจในพรรคเพื่อไทยเข้ามาอีก ในฐานะหัวหน้าครอบครัวพรรคเพื่อไทย โดยใช้เวทีที่ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติมลฑาทิพย์ ฮอลล์ อ.เมือง จ.อุดรธานี จัดงาน “ครอบครัวเพื่อไทย บ้านหลังใหญ่ หัวใจเดิม” เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2565 นัยว่า เพื่อรวมแฟนคลับประชานิยม ตั้งแต่ยุค ไทยรักไทย ยุค พลังประชาชน มาจนถึงยุค เพื่อไทย เข้าด้วยกัน

จากนั้นในช่วงรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งทั่วไป ในวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 “อุ๊งอิ๊ง” ก็กลายเป็น “ยืนหนึ่ง” ในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย มาตลอด

จนเมื่อวันที่ 5 เมษายน จึงมีความชัดเจนว่า “แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี” ของพรรคเพื่อไทย 3 คน คือ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย นายเศรษฐา ทวีสิน ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย และ นายชัยเกษม นิติสิริ ประธานยุทธศาสตร์และทิศทางการเมือง

หลังการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 ที่ปรากฏว่า พรรคก้าวไกล ชนะเลือกตั้งมาเป็นอันดับ 1 ได้ส.ส. 151 ที่นั่ง ขณะพรรคเพื่อไทย ได้อันดับ 2 ได้ส.ส. 141 ที่นั่ง ตัวเต็งในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จึงเปลี่ยนมาอยู่ที่พรรคก้าวไกลในเบื้องต้น และหลังจากพรรคเพื่อไทย ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล(พรรคก้าวไกลตั้งรัฐบาลไม่สำเร็จ) มีกระแสข่าวว่า ครอบครัวชินวัตร ไม่ต้องการให้ “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ขึ้นเป็นนายกฯตอนนี้ เพราะห่วงเรื่องประสบการณ์ทางการเมือง ขณะเดียวกันตัวเลือกแคนดิเดตนายกฯอีกคน อย่าง นายเศรษฐา ทวีสิน มีความพร้อมกว่าในทุกด้าน จึงมีกระแสข่าวว่า นายเศรษฐา จะได้รับการเสนอชื่อก่อน “อุ๊งอิ๊ง” และในที่สุดก็เป็นไปตามนั้น

ส่วน “อุ๊งอิ๊ง” จากเดิมที่หลายฝ่ายคาดหมายว่า จะมีชื่อในตำแหน่งรัฐมนตรี กระทรวงใดกระทรวงหนึ่ง แต่ปรากฏว่า ไม่มีชื่อแม้แต่กระทรวงเดียว ทั้งที่เป็นหนึ่งในคณะเจรจาจัดตั้งรัฐบาล   

ขณะเดียวกัน มีกระแสข่าวว่า จะมารับผิดชอบงานด้าน “ซอฟต์เพาเวอร์” ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญของพรรค นอกจากนโยบายแจกเงินดิจิทัลฯ คนละ 1 หมื่นบาท

กระทั่ง “ชัย วัชรงค์” โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลง (13 ก.ย.66) ว่า นายกรัฐมนตรีมีบัญชา ให้ตั้งคณะกรรมการยุทธศาสตร์ว่าด้วยเรื่อง Soft Power โดยคณะกรรมการชุดนี้จะกำหนดยุทธศาสตร์ ว่าด้วยเรื่อง Soft Power ของประเทศไทย ซึ่งนายกรัฐมนตรีจะนั่งเป็นประธานเอง มี น.ส.แพทองธาร  ชินวัตร เป็นรองประธาน นายพันศักดิ์ วิญญูรัตน์ เป็นที่ปรึกษา นายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เป็นกรรมการ และมี นายแพทย์ พรหมินทร์ เลิศสุริยเดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ร่วมด้วย

ท่ามกลางการวิเคราะห์ว่า เรื่อง Soft Power นี้เอง จะเป็นห้องเรียนสำคัญในการเรียนรู้เพื่อที่จะขึ้นสู่ตำแหน่งทางการเมืองของ “อุ๊งอิ๊ง” ไม่ว่ารัฐมนตรี หรือ นายกรัฐมนตรี ในอนาคตอันใกล้

จากนั้น ในการประชุมใหญ่วิสามัญ ครั้งที่ 1/2566 (27 ต.ค.66) ของพรรคเพื่อไทย ในการเลือกตั้งคณะกรรมการบริหาร (กก.บห.) พรรคเพื่อไทยชุดใหม่ หลังจาก นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ลาออกจากการเป็นหัวหน้าพรรค เมื่อเดือน สิงหาคม ที่ผ่านมา เพื่อทำตาม “สัจจะ” ที่ประกาศไว้ก่อนเลือกตั้ง ว่าหากเพื่อไทย จับมือกับพรรค “สองลุง” เขาจะลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรค ที่เข้ามาทำหน้าที่เมื่อปี 2564 ก็เป็นไปตามความคาดหมายของหลายฝ่าย “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ผู้ซึ่ง นพ.ชลน่าน ยกให้เห็น “ศูนย์รวมจิตใจ” ของคนเพื่อไทย ก้าวขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ ในวัย 37 ปี

“อุ๊งอิ๊ง” แสดงวิสัยทัศน์ว่า การได้ความไว้วางใจจากสมาชิกให้มาเป็นหัวหน้าพรรค ไม่ใช่เป็นเพียงการส่งต่อภารกิจทางด้านอุดมการณ์ แต่เป็นการเชื่อมความเชื่อมั่น ความมั่นคง เชื่อมศรัทธา เชื่อมการต่อสู้ของทุกคนเข้าด้วยกันอีกครั้ง พร้อมขอบคุณ นายทักษิณ ผู้เป็นบิดา ที่ทำให้เห็นความตั้งใจและอุดมการณ์ และเป็นแรงบันดาลใจที่สำคัญในการดำรงชีวิต

“รู้ดีว่า ภารกิจนี้เป็นภารกิจที่ยิ่งใหญ่และสำคัญมาก แต่จะทำให้พรรคเพื่อไทยพัฒนาขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง” พร้อมกับบอกว่า “จากการเลือกตั้งที่ผ่านมา ทำให้เพื่อไทย ต้องเปลี่ยนวิธีคิดใหม่ ทีม กก.บห. ชุดใหม่ จะต้องทบทวนถอดบทเรียนจากการเลือกตั้ง เพื่อทำให้เพื่อไทย กลับไปเป็นพรรคอันดับหนึ่งอีกครั้ง”

ประเด็นที่น่าวิเคราะห์ก็คือ “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร จากวันที่ ก้าวเข้าสู่การเมือง ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า ยังอ่อนประสบการณ์การเมือง และการบริหารราชการแผ่นดิน กับวันนี้ที่ต้องบอกว่า แตกต่างอย่างสิ้นเชิง

การวางแผนสำหรับ “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร เหมือน จงใจให้ “อดเปรี้ยวไว้กินหวาน” บ่มเพาะให้สุกงอมในสิ่งที่ควรได้เรียนรู้ และเติมเต็มในสิ่งที่หลายคนขาดโอกาสที่จะได้รับ เพื่อไม่ให้มีช่องโหว่ หรือบาดแผลให้คู่แข่งโจมตี ทั้งยังช่วยหนุนเสริมอำนาจ-บารมีไปในตัว

จริงอยู่, ไม่มีทางที่นักการเมืองธรรมดา จะสามารถก้าวเข้าสู่การเมืองครั้งแรกในตำแหน่ง ประธานที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม พรรคเพื่อไทย จากนั้นก็ก้าวกระโดดพรวดๆ ขึ้นเป็น หัวหน้าครอบครัวพรรคเพื่อไทย 1 ใน 3 “แคนดิเดตนายกฯ” รองประธานยุทธศาสตร์ว่าด้วยเรื่อง Soft Power และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ถ้าไม่ใช่ “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ซึ่งเป็นลูกสาวคนเล็ก “หัวแก้วหัวแหวน” ของ “ทักษิณ”

“ทักษิณ” เคยให้สัมภาษณ์เอาไว้ว่า “อุ๊งอิ๊ง” หน้าเหมือนพ่อ แต่นิสัยเหมือนแม่ และ “ทักษิณ” ยังพูดถึง “อุ๊งอิ๊ง” ว่าสนใจการเมืองตั้งแต่เด็ก เดินตามพ่อทำงานการเมืองและบริหารประเทศตั้งแต่ช่วงเป็นนายกรัฐมนตรี จึงเรียนรู้ทางการเมืองได้เร็ว

แต่สิ่งที่ต้องยอมรับก็คือ “พรแสวง” ของ “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ด้วย ที่ไม่ยอมงอมืองอเท้า รออำนาจวาสนามาเกยในฐานะ “ทายาท” ทางการเมืองของ “ทักษิณ” อย่างเดียว

อย่าลืมว่า การ “นำทัพ” ผู้สมัครพรรคเพื่อไทย หาเสียงในการเลือกตั้งเมื่อ 14 พฤษภาคม 2566 เป็นประสบการณ์ที่ “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ผ่านมาแล้ว อย่างโชกโชน แม้ว่า จะไม่สมหวังก็ตาม แต่ก็ได้บทเรียนมากมาย การเป็นหัวหน้าครอบครัวพรรคเพื่อไทย และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในขณะที่ลูกพรรคมีทั้งหัวดำหัวขาวอยู่กันเต็มไปหมด ทั้งยังมีบทบาทประสานรอยร้าวระหว่าง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง กับ “ทักษิณ” ก็ถือว่า มีประสบการณ์มาแล้ว

ดังนั้น การเปิดโลกทัศน์ให้กับตัวเอง เพื่อเรียนรู้สิ่งใหม่ โดยเฉพาะด้านความมั่นคงของประเทศ อย่างการเรียน “มินิ วปอ.” รุ่นที่ 1 ซึ่ง เชื่อว่าจะได้ “คอนเนคชั่น” จากเพื่อนร่วมชั้น ที่มีหลายภาคส่วน โดยเฉพาะผู้มีบทบาทในกองทัพ ตำรวจ และนักธุรกิจ ถือว่า เตรียมความพร้อมเอาไว้อย่างดี เหมือนกับ นักการเมืองที่เรียนวปอ.รุ่นใหญ่

อย่างนี้ ถ้าไม่ใช่การปูทางเอาไว้ด้วยกลีบกุหลาบ ก็ไม่รู้จะเรียกอะไรแล้ว!?