หวานเจี๊ยบ! 'บิ๊กต่อ-บิ๊กโจ๊ก' กอดเอว แถลงจูบปาก หวังสยบรอยร้าว

หวานเจี๊ยบ! 'บิ๊กต่อ-บิ๊กโจ๊ก' กอดเอว แถลงจูบปาก หวังสยบรอยร้าว

"บิ๊กต่อ-บิ๊กโจ๊ก" ร่วมแถลงข่าวหลังเข้าพบนายกฯเศรษฐา สยบรอยร้าวองค์กรตำรวจ เคลียร์ใจทุกปม ก่อนกอดเอว ถ่ายรูปคู่

เมื่อเวลา 11.30น. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. พร้อม พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล (บิ๊กโจ๊ก) รอง ผบ.ตร.ร่วมแถลงข่าวเคลียร์ใจ ท่ามกลางกระแสความขัดแย้งถึงปัญหาภายในองค์กร เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่สังคมและประชาชน โดยหลังการแถลงจบสิ้น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้โอบเอว พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ให้สื่อมวลชนถ่ายรูปร่วมกัน

พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ กล่าวว่า ตนตัดสินใจเข้าพบนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ด้วยตัวเองเพื่อรายงานให้รับทราบว่า ต่อจากนี้สำนวนคดีความที่เกี่ยวเนื่องกับเว็บพนันออนไลน์ที่เกิดขึ้นในท้องที่ สน.ทุ่งมหาเมฆ และ สน.เตาปูน จะรวบรวมส่งให้กับ ป.ป.ช.ทั้งหมด เพื่อให้เกิดความยุติธรรม ซึ่งจะมีหน่วยงานกลางอื่นๆ เช่น ป.ป.ง.มาร่วมตรวจสอบเส้นทางการเงินด้วย พร้อมยืนยันว่าไม่มีใครรวมถึง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ มาบอกกล่าวให้ทำเช่นนี้

ส่วนเส้นทางการเงินเว็บพนันเชื่อมโยงถึงนายพลตำรวจชื่อ ต.นั้น ตอนนี้ยังไม่ได้เอ่ยชื่อจริงๆ ออกมา และยังไม่มีคดีเกิดขึ้น แต่ได้สั่งการให้ตรวจสอบในทางลับไปแล้ว

หวานเจี๊ยบ! \'บิ๊กต่อ-บิ๊กโจ๊ก\' กอดเอว แถลงจูบปาก หวังสยบรอยร้าว

อย่างไรก็ตาม ทุกวันนี้มีผู้พยายามทำให้เกิดความขัดแย้งในองค์กรผ่านทางสื่อโซเชียลมีเดีย เพราะเรื่องราวเหล่านี้ไม่ได้มาจากพวกตน ที่ผ่านมายังได้ย้ำเสมอว่า ตนจะพูดคุยกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ มาตลอด หากไม่ได้คุยกันโดยตรงก็จะคุยผ่านลูกน้อง ไม่มีเหตุอะไรที่ตนต้องเตะสกัดขา พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยอมรับว่าเมื่อเกิดปัญหาก็มีความเครียด แต่ก็พยายามประนีประนอมไม่ให้เกิดความขัดแย้ง เพื่อให้ลูกน้องมีขวัญกำลังใจและทำงานให้ประชาชนอย่างเต็มที่ 

พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ กล่าวอีกว่า นับแต่วันแรกที่รับตำแหน่ง ตนไม่เคยมีความขัดแย้งกับใครแม้แต่คนเดียว มีแต่สิ่งที่ฟังกันมาแล้วไปคิดกันเอง ไปบังคับใครไม่ได้ ตนอยากสร้าง ตร.ให้เป็นบ้าน และทุกคนเป็นพี่น้องกัน แม้ตนจะไม่ได้จบจากโรงเรียนเหล่าทัพมา แต่ตนก็มีความเป็นครู เพราะได้สอนโรงเรียนนายร้อยตำรวจมา 20 ปี จึงอยากให้ตำรวจรักกัน ไม่เช่นนั้นประชาชนจะได้อะไร

หวานเจี๊ยบ! \'บิ๊กต่อ-บิ๊กโจ๊ก\' กอดเอว แถลงจูบปาก หวังสยบรอยร้าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยังมีชื่อเป็นแคนดิเดต ผบ.ตร.ในคำสั่งการแต่งตั้งประจำปี 2567 หรือไม่ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ย้ำว่า รอง ผบ.ตร.เป็นแคนดิเดต ผบ.ตร.ทุกคน

ด้าน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ผบ.ตร.ได้พาตนไปพบนายกรัฐมนตรี เพราะมีแนวคิดที่จะยุติความขัดแย้งในองค์กรทั้งหมด ทุกคนมีผู้บังคับบัญชาเพียงคนเดียวคือ ผบ.ตร.ตั้งแต่ระดับ รอง ผบ.ตร.ไปจนทุกตำรวจชั้นประทวนทุกนาย ซึ่งพวกตนมีแนวคิดเดียวกันที่จะเดินหน้าทำงานเพื่อประชาชน

สำหรับเรื่องคดีความนั้น ตนในฐานะที่ได้ทำงานสืบสวนมา ก็ได้เน้นย้ำถึงขั้นตอนการทำงานตามกฎหมาย เมื่อสำนวนคดีส่งไปยัง ป.ป.ช.แล้ว จะเป็นหน้าที่รับผิดชอบเพียงหน่วยงานเดียว ทั้งการสืบสวนสอบสวน

ส่วนการนัดแถลงข่าวในวันนี้ก็เพื่อให้ประชาชนได้เห็นว่า จากนี้จะไม่มีความขัดแย้งเกิดขึ้นในองค์กรอีก เพื่อทำงานให้ประชาชนอย่างเต็มที่ พร้อมสนองนโยบายนายกฯ ที่จะทำให้เกิดความสามัคคีในองค์กร

ส่วนเรื่องการรับหมายเรียกนั้น ตามหลักการของ ป.วิ อาญา ต้องให้เจ้าตัว หรือพ่อแม่และญาติเป็นผู้รับ ฝากไว้กับบุคคลอื่นไม่ได้ แต่เนื่องจากขณะนั้น ตนอยู่ จ.เชียงใหม่ จึงยังไม่ได้รับหมาย แต่เมื่อสำนวนคดีส่งให้กับ  ป.ป.ช.แล้ว พนักงานสอบสวนก็ต้องหยุดการสืบสวนสอบสวน ตอนนี้ต้องทำให้สังคมเชื่อมั่นว่าไม่มีความขัดแย้งภายใน จึงต้องเริ่มจากการแถลงข่าวเป็นอันดับแรก และไปทานอาหารร่วมกับ ผบ.ตร.ซึ่งปกติก็มักจะทานอาหารร่วมกันอยู่บ่อยๆ เพียงแต่สื่อไม่ได้เห็น ทั้งงานแต่งงาน หรือการประชุม 

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ตอนนี้ต้องเสียสละเรื่องราวในอดีต เซ็ตซีโร่ หากลูกน้องตนเองมีคดีก็ต้องว่าไปตามกฎหมาย ไม่ปกป้อง ทุกคนต้องทำงานเต็มที่ ทุกอย่างจะต้องจบด้วยการให้อภัย

ตนก็จะถอนฟ้อง พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก.และตำรวจกว่า 200 นายที่ทำคดีของตน เช่นเดียวกับคดีที่ พล.ต.ต.นำเกียรติ ธีระโรจนะพงษ์ ลูกน้องตัวเอง เมื่อ ผบ.ตร.เรียกมาพบก็ต้องยุติ ย้ำว่าการแถลงข่าวครั้งนี้ไม่ใช่อีเวนต์ 

เมื่อถามว่าจะไม่มีการเอาคืนพนักงานสอบสวนในคดีอีกใช่หรือไม่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า "หากผมทำเช่นนั้น ท่านนายกฯ ต้องด่าผมแน่ และสังคมก็จะมองว่าผมทำเหมือนเดิมอีก ดังนั้นเรื่องนี้ต้องไม่เกิดขึ้นแล้ว"