‘เสรีพิศุทธ์’ชำแหละช่องโหว่ กมธ. สภาฯ ‘สส.-คณะทำงาน’หากินถอนทุนเลือกตั้ง

‘เสรีพิศุทธ์’ชำแหละช่องโหว่ กมธ. สภาฯ ‘สส.-คณะทำงาน’หากินถอนทุนเลือกตั้ง

“ผมเคยเป็นประธาน กมธ. กฎหมาย ก็มี สส. จากพรรคการเมืองใหญ่ เรียกรับทรัพย์สินอธิบดี ตอนนี้ศาลพิพากษาจำคุกไปแล้ว... สส.บางคนซื้อเสียงมา เสียเงินมาแล้ว จะมีเงินเดือน สส. เงินเดือนจากพรรค ทำให้พรรคการเมืองต้องหาเงินจากโครงการต่างๆ"

Key Points :

  • ปมรีดเงิน "อธิบดีกรมการข้าว" สะเทือนวงการการเมือง-ข้าราชการ ยิ่งในช่วงพิจารณา พ.ร.บ.งบประมาณปี 2567 ซึ่ง "บิ๊กข้าราชการ" ต้องชี้แจงการใช้งบในชั้น กมธ.
  • "เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส" บอกว่าเคยนั่งประธาน กมธ. กฎหมาย มี สส.พรรคการเมืองใหญ่ เรียกทรัพย์จากอธิบดี จนมีคดีความมาแล้ว
  • เขาบอกว่าจุดเริ่มต้นของปัญหามาจาก สส. ใช้เงินซื้อเสียง จนมาสู่การหากินจากโครงการต่างๆ

สะเทือนวงการการเมือง-ข้าราชการ ปม ศรีสุวรรณ จรรยา ผนึกกำลังกับ “เจ๋ง ดอกจิก” ยศวริศ ชูกล่อม ปฏิบัติการรีดทรัพย์ “อธิบดีกรมการข้าว” จนนำมาสู่การจับกุมดำเนินคดี

ยิ่งในช่วงการพิจารณา พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 บรรดา “เสือโหย” ออกฤทธิ์ ใช้วิธีการใต้ดิน ส่งซิกให้ “บิ๊กข้าราชการ” หลายกระทรวง-หลายกรม ยอมไหลตามน้ำ ไม่แข็งข้อ ก็ต้องโดนรุกคืบ แต่มีบางกระทรวง-บางกรม ที่ยอมหักไม่ยอมงอ จนนำมาสู่การแฉกลับ จนนำมาสู่การฟ้องร้อง

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ให้สัมภาษณ์รายการคมชัดลึก ออกอากาศผ่านช่องเนชั่นทีวี โดยฉายภาพปัญหาการใช้ตำแหน่ง กมธ. หวังหาผลประโยชน์ทางการเมือง ว่า “คนที่เป็น สส. เป็น กมธ. ไม่เคยทำงานราชการมา ส่วนใหญ่จะไม่เข้าใจ”
 

“สส.บางคนซื้อเสียงมา เสียเงินมาแล้ว จะมีเงินเดือน สส. เงินเดือนจากพรรค พรรคใหญ่จ่ายกันคนละ 2 แสนต่อเดือน ทำให้พรรคการเมืองต้องหาเงินจากโครงการต่างๆ ทำให้ระบบบ้านเมืองเราเสีย มันลำบากที่จะแก้ไข มันเสียตั้งแต่เลือกตั้ง ชาวบ้านรับเงิน คนอยากเป็นก็จ่ายเงิน ไม่จ่ายเงินก็ไม่ได้เป็น มันจึงเป็นผลเสียหาย เมื่อเข้ามาแล้วก็ต้องแสวงหา”

“ผมเคยเป็นประธาน กมธ. กฎหมาย ก็มี สส. จากพรรคการเมืองใหญ่ เรียกรับทรัพย์สินอธิบดี ตอนนี้ศาลพิพากษาจำคุกไปแล้ว  กรณีของนายยศวริศ ไม่ได้เป็น กมธ. แต่ถ้าตัวเองรู้จัก กมธ. อาจจะนำไปอ้างโดยที่ กมธ. ตัวจริง เขาไม่รู้เรื่องก็ได้ แต่กรณีที่ กมธ. รู้เรื่องด้วยก็มี เช่นเดียวกับข้าราชการใช้เงินซื้อตำแหน่งมาก็มี แต่ไม่หนักเท่ากับ สส.”
 

สำหรับคดีความดังกล่าว พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ มองว่า เรื่องนี้แบ่งเป็น 2 ส่วน 1.ต้องดำเนินคดีผู้ที่เกี่ยวข้องตามกฎหมาย ทั้งนายศรีสุวรรณ และนายยศวริศ ซึ่งเป็นคณะทำงานของรองนายกฯตามกฎหมาย ซึ่งจะต้องดำเนินคดีในชั้นป.ป.ช.ด้วย 2.อธิบดีกรมการข้าว ผู้บังคับบัญชาของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ต้องโดนตรวจสอบเรื่องร้องเรียนว่ามีมูลกระทำความผิดหรือไม่

ส่วนคดีขู่รีดทรัพย์ตนคิดว่าขณะนี้มีพยานหลักฐานค่อนข้างชัดเจน หากย้อนไปจุดเริ่มต้นนายศรีสุวรรณ ไม่ได้มีอาชีพอะไร เท่ากับยอมรับว่าไม่มีอาชีพเป็นหลัก ซึ่งตนประเมินตั้งแต่ต้นแล้วว่านายศรีสุวรรณ มีช่องทางหาผลประโยชน์ใส่ตน แล้วเขาก็ร้องไปหมด ตนคิดว่าหากเรื่องไหนตกลงกันได้เขาก็จะไม่ไปให้การ ไม่ติดตามคดี ก็ปล่อยทิ้งไปเรื่อย

“เคยมาร้องเรียนผม มาเจอผม ผมก็ฟาดให้ ไม่รู้ว่ามีเจตนามารีดไถผมหรือไม่ ผมก็ไม่แน่ใจ แต่ตัวผมเองรู้ตัวเองว่าถูกต้อง ก็ไม่ใส่ใจอะไร  แต่กรณีผมไม่มีการติดต่อส่วนตัวเพื่อเคลียร์ ถ้าผมเป็นอธิบดีกรมการข้าว ผมไม่มานั่งเคลียร์ให้เสียเงิน ผมก็จะล่อให้เลย แต่พอไปเจรจา ผู้บังคับบัญชาก็ต้องตรวจสอบด้วย”

ส่วนข้อสันนิษฐาน “อธิบดีกรมการข้าว” ยอมจ่ายเพื่อนำมาสู่การจับกุม พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวว่า อันนี้ก็แล้วแต่จะพูด มันก็เป็นไปได้ทั้งนั้น แต่ต้องตรวจสอบทั้งหมด ข้อมูลที่โดนร้องเรียนมีจริงหรือไม่ แม้นายศรีสุวรรณและนายยศวริศ จะโดนจับกุม ก็ต้องตรวจสอบดำเนินคดีกับอธิบดีกรมการข้าวด้วย

ขณะเดียวต้องตรวจสอบสถานะของ “ยศวริศ” เป็นหรือไม่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ เพราะมันอยู่ที่วันเวลาเกิดเหตุการณ์กระทำความผิด ตนไม่รู้ว่ารองนายกฯแต่งตั้งให้เป็นคณะทำงานวันใด แต่เมื่อแต่งตั้งแล้วมันก็ใช้ตำแหน่งหน้าที่ไปดำเนินการ

"หากเป็นเจ้าหน้าที่รัฐจะมีโทษหนักกว่า ต้องโดนแจ้งข้อหาดำเนินคดีตามกฎหมาย ป.ป.ช. ส่วน “ศรีสุวรรณ” แม้ไม่มีสถานะเจ้าหน้าที่รัฐ แต่อาจจะถูกดำเนินคดีฐานสนับสนุนเจ้าหน้าที่รัฐ" เสรีพิศุทธ์ ทิ้งท้าย