ปาหี่ ‘นิรโทษกรรม’ ‘พลุสีส้ม’ บนทาง ‘โดดเดี่ยว?’

ปาหี่ ‘นิรโทษกรรม’   ‘พลุสีส้ม’ บนทาง ‘โดดเดี่ยว?’

“พลุสีส้ม” นิรโทษกรรม ฉบับก้าวไกล เกมซื้อใจ ชิง "แต้มเหลือง-แดง" - เขย่า “นายใหญ่ชั้น14” ด้วยครหาอภิสิทธิ์ชนไปในคราวเดียวกัน

“พลุสีส้ม”  ดันกฎหมายนิรโทษกรรมถูกจุดมาพักใหญ่ แต่ดูเหมือนสัญญาณจากฟากฝั่งการเมืองยามนี้ ยังคงยิงตรงไปที่พรรคก้าวไกลในฐานะต้นเรื่อง แบบไม่หยุดหย่อน

 ย้อนปฐมบทเรื่องนี้เกิดขึ้นในช่วงเดือนต.ค. ก่อนปิดสมัยประชุมสภา “หัวหน้าต๋อม” ชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกลนำทีม สส.เสนอร่างพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)นิรโทษกรรมแก่บุคคลซึ่งได้กระทำความผิดอันเนื่องมาจากเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง พ.ศ. … จำนวน 14 มาตรา

เวลานั้น “ชัยธวัช”  ให้เหตุผลในการเสนอร่างกฎหมาย ฉบับดังกล่าว เพื่อยุติการใช้ “นิติสงคราม” กับประชาชนทั้งจะเป็นการจะเป็นการ “ถอนฟืน” ออกจากกองไฟเพื่อสร้างความปรองดองที่ยั่งยืน

 

แต่เมื่อเจาะลึกไปที่ตัวร่าง หลักใหญ่ใจความสำคัญอยู่ตรงที่ การนับรวมคดีทุกสีเสื้อ นับแต่การชุมนุมครั้งแรกของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 11 ก.พ.2549 ลุกลามบานปลาย จนเกิดการรัฐประหาร 19 ก.ย.2549 โดยคณะปฏิรูปการปกครองฯ ต่อมายังมีการรัฐประหารซ้ำอีกครั้ง เมื่อวันที่ 22 พ.ค.2557 โดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ

ปาหี่ ‘นิรโทษกรรม’   ‘พลุสีส้ม’ บนทาง ‘โดดเดี่ยว?’

ในวันที่ยื่นร่างพ.ร.บ. แม้ “แกนนำพรรคก้าวไกล” ย้ำชัด อานิสงส์จาก พ.ร.บ.นี้ไม่ครอบคลุมถึงการกระทำบรรดาเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์สลายการชุมนุม ซึ่งกระทำเกินสมควรแก่เหตุ ตลอดจนไม่นิรโทษกรรมการกระทำความผิดต่อชีวิต ตามประมวลกฎหมายอาญา และไม่นิรโทษกรรมการกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 113

ทว่า  “พลุสีส้ม” ที่ถูกจุดเวลานั้น  “ชัยธวัช”  กลับเลี่ยงบาลีที่จะพูดถึงการนิรโทษกรรมบรรดาคดีความตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา112 โดยบอกแต่เพียงว่า  “ขึ้นอยู่กับอยู่ในวินิจฉัยของคณะกรรมการ” 

จากความไม่ชัดเจนนั้นเองทำให้กระแสตีกลับไปยังพรรคก้าวไกล ถึงจุดประสงค์ของการเสนอร่างกฎหมาย โดยเฉพาะการนิรโทษกรรมคดี 112 ซึ่งเวลานี้“พลพรรคสีส้ม”ติดร่างแหคดีนี้หลายต่อหลายคน ที่ยังทิ้งไว้ซึ่งคำถามที่ว่าการเสนอกฎหมายดังกล่าว ที่สุด“ทำเพื่อใครกันแน่?”

ภาพของการเดินสายพบแกนนำม๊อบสีต่างๆ โดยเฉพาะล่าสุดปรากฎซีนที่ “ต๋อม ชัยธวัช” นั่งพูดคุยกับ “สุวิทย์ ทองประเสริฐ” หรืออดีต “พระพุทธอิสระ” อดีตเจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย และอดีตแนวร่วมคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.)

แม้ “หัวหน้าต๋อม” จะพูดในเชิงปลอบใจในทำนองที่ว่า "ถือเป็นเรื่องดี แม้ว่าอาจจะมีบางกลุ่มที่ยังคงมีคำถามอยู่บ้าง แต่อย่างน้อยก็ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน" 

ปาหี่ ‘นิรโทษกรรม’   ‘พลุสีส้ม’ บนทาง ‘โดดเดี่ยว?’

แต่หากจับสัญญาณฟากฝั่งการเมืองยามนี้ดูแล้ว  น่าสนใจว่า จังหวะก้าวย่างของพรรคก้าวไกลนับจากนี้ มีโอกาสไปถึงฝั่งฝันมากน้อยเพียงใด 

เพราะ หากที่สุดร่างฉบับนี้เข้าสภาซึ่งจะเปิดสมัยประชุมในวันที่12ธ.ค.นี้ “พลพรรคสีส้ม” ยังต้องฝ่าด่านทั้ง สส.ภายใต้เกมยาวพิจารณา 3 วาระ

ยังไม่นับรวมด่านสว. ซึ่งทั้งหมดล้วนอยู่ใต้การคอนโทรลของ “ลุงพี่-ลุงน้อง”  ที่คอยตั้งท่าขวางเต็มสูบ

เช็กแนวร่วมที่มีอยู่ยามนี้ “ซีกฝ่ายค้าน”  พรรคก้าวไกล มีเสียงในมือ 147 เสียง จากเดิม151เสียง (พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หยุดปฏิบัติหน้าที่ +ส.ส.ถูกขับออก3คน)

พรรคประชาธิปัตย์ มี25 เสียง  ยังคงแบ่งเป็นก๊กเป็นเหล่า  แถมย้ำจุดยืนอย่างชัดเจนไม่เอาด้วยกับการนิรโทษคดี112

ที่เหลือก็จะมีแค่พรรคไทยสร้างไทย 6 เสียง พรรคเป็นธรรม 2เสียง พรรคใหม่ พรรคประชาธิปไตยใหม่ และ พรรคครูไทยเพื่อประชาชนอีกพรรคละ1เสียงที่ยังคงนิ่งสงบสยบความเคลื่อนไหว

ขณะที่ฟากฝั่ง “รัฐบาล” เช็กท่าทียามนี้ หากจะหวัง “รวมกันเฉพาะกิจ” โหวตหนุนร่างพ.ร.บ.ฉบับที่พรรคก้าวไกลเสนอยิ่งเป็นไปได้ยาก

อย่าลืมว่าฝัง “ผู้มีอำนาจ” มี “ธงสัญญาณ” ชัดเจน "มีก้าวไกลไม่มีเรา " รวมถึงการสกัดขัดขวางอะไรก็ตามที่นำไปสู่การล้างคดี112 มาตั้งแต่มี “ซูเปอร์ดีล” พลิกขั้วจัดตั้งรัฐบาลแล้ว

ขณะเดียวกันพรรคแกนนำอย่าง“พรรคเพื่อไทย” ซึ่งมีกฎหมายนิรโทษกรรมเป็น“ของแสลง” ยามนี้อาจยังคงเข็ดขยาด เพราะมีบทเรียนเมื่อครั้งการชุมนุมขับไล่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เมื่อปี 2556

โดยเฉพาะท่าทีของ“ชูศักดิ์ ศิรินิล” รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เคยพูดถึงเรื่องนี้

“หากพูดถึงนิรโทษกรรมอาจดูเหมือนว่าพรรคเพื่อไทยจะตกเป็นจำเลยในอดีต ส่วนตัวแสดงความเห็นว่า การนิรโทษกรรมมีสิ่งที่ต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง อย่าให้ร่างกฏหมายนั้นไปสร้างความขัดแย้งในสังคมมากขึ้น จนกลายเป็นประเด็นใหม่ของความขัดแย้งในสังคม”

การจุดพลุสีส้ม ดัน“นิรโทษกรรม”ของพรรคก้าวไกลไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นในสภาเป็นครั้งแรก

ปาหี่ ‘นิรโทษกรรม’   ‘พลุสีส้ม’ บนทาง ‘โดดเดี่ยว?’

หากจะย้อนกลับไปในช่วงทศวรรษไม่ว่าจะเป็นสภาชุดที่แล้ว ก็มีการเสนอกฎหมายโดย นพ.ระวี มาศฉมาดล หัวหน้าพรรคพลังธรรมใหม่ ได้ยื่นร่าง พ.ร.บ.สร้างเสริมสังคมสันติสุข แต่ยังไม่ได้รับการพิจารณา และถูกตีตกไปภายหลังการยุบสภาและจัดเลือกตั้งใหม่

โดยเนื้อหาของร่างกฎหมายนิรโทษกรรมฉบับพรรคพลังธรรมใหม่ กำหนดให้การกระทำการที่มีมูลเหตุเกี่ยวข้องหรือเกี่ยวเนื่องกับความขัดแย้งทางการเมือง ตั้งแต่ 19 ก.ย. 2549-30 พ.ย. 2565 ไม่เป็นความผิดทั้งทางอาญาและทางแพ่ง อย่างไรก็ตาม ไม่รวมถึงความผิดคดีทุจริต และคดีมาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญา

หรือหากย้อนกลับไปในยุครัฐบาลพรรคเพื่อไทย เคยมีการเสนอกฎหมายปรองดองต่อเนื่องมาถึงกฎหมายนิรโทษกรรมหลายฉบับ หนึ่งในนั่นคือกฎหมายนิรโทษกรรมซึ่งถูกขนานนามว่าเป็น“ฉบับสุดซอย”  จนกระทั่งนำมาสู่สถานการณ์การเมืองที่สุกงอมและเกิดการรัฐประหารโดยที่ยังไม่มีกฎหมายฉบับใดบังคับใช้เช่นกัน

ความจริงหมากเกมนี้“ก้าวไกล” รู้ดีว่าโอกาสที่จะได้เสียงสนับสนุนเป็นไปได้ยาก

แต่การ “จุดพลุสีส้ม” ที่เกิดขึ้นยามนี้  แง่หนึ่งอาจมีผลในแง่ “ซื้อใจมวลชน”ทุกสีเสื้อ เปลี่ยนแต้มเหลือง-แดง แปรเปลี่ยนเป็นแต้มส้ม ตุนไว้รอบหน้า หากทำสำเร็จสามารถ “ตีตั๋วผู้แทน” ได้แบบเป็นกอบเป็นกำ จนถือเสียงข้างมากในสภาในอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด โอกาสถึงฝั่งฝันภายภาคหน้าก็ยังมีอยู่

จังหวะท่วงท่าของ "พลพรรคส้ม" ที่เกิดขึ้นเวลานี้นอกเหนือจากหวังผลไปที่การโกยแต้มคะแนนนิยมแล้ว ยังเป็นการชิงจังหวะเหมาะเจาะเขย่าไปยัง “นายใหญ่ชั้น14” ด้วยครหาอภิสิทธิ์ชนไปในคราวเดียวกันอีกด้วย