‘ก้าวไกล’ เห็นพ้องอนุฯจำนวนครั้งประชามติแก้ รธน. ‘ชัยธวัช’ ชงคำถามพ่วง

‘ก้าวไกล’ เห็นพ้องอนุฯจำนวนครั้งประชามติแก้ รธน. ‘ชัยธวัช’ ชงคำถามพ่วง

‘ก้าวไกล’ เห็นพ้องอนุฯรับฟังความเห็นแก้ รธน.ของรัฐบาล 2 ประเด็น ‘จำนวนครั้ง-ความสำคัญตั้งคำถาม’ เพื่อให้มีความชอบธรรมทางการเมือง ‘ชัยธวัช’ ชง 3 ข้อเสนอ ย้ำจุดยืนต้องมี สสร. ควรมีคำถามพ่วงด้วย

เมื่อวันที่ 14 พ.ย. 2566 เวลา 12.20 น. ที่อาคารอนาคตใหม่ ที่ทำการพรรคก้าวไกล ภายหลังการประชุมระหว่างคณะอนุกรรมการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับแนวทางในการทำประชามติ เพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2560 นำโดยนายนิกร จำนง เป็นประธานฯ และพรรคก้าวไกล มีนายชัยธวัช ตุลาธน สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรค ร่วมหารือ รับฟังความเห็น เกี่ยวกับการจัดทำประชามติ เพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ 

โดยนายชัยธวัช กล่าวว่า การรับฟังในวันนี้ เป็นไปได้ด้วยดี ได้มีการแลกเปลี่ยนกันในรายละเอียดหลาย ๆ เรื่อง เข้าใจเจตนา เนื้อหาซึ่งกันและกัน โดยข้อเสนอของพรรคก้าวไกล คงจะมีประโยชน์พอสมควรกับการทำงานของอนุกรรมการฯ และกรรมการชุดใหญ่หลังจากนี้ พรรคก้าวไกล มี 3 ข้อเสนอหลัก คือ 1.กระบวนการจัดทำประชามติควรจะมีกี่ครั้ง 2.คำถามในการทำประชามติครั้งแรกควรจะเป็นอย่างไร 3.ข้อเสนอในการแก้ไข 
    
นายชัยธวัช กล่าวอีกว่า พรรคก้าวไกลเสนอว่า ควรจะมีการทำประชามติ 3 ครั้ง โดย 2 ครั้งหลังให้เป็นไปตามกระบวนการตามธรรมนูญ และคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่จำเป็นต้องมีอยู่แล้ว แต่ในส่วนของครั้งแรก ควรจะต้องมีการจัดทำประชามติก่อน ก่อนที่สภาฯ จะมีกระบวนการในการเสนอร่างแก้ไขเพิ่มเติม ด้วยเหตุผลสำคัญ 3 เรื่อง คือ

1.เพื่อทำให้กระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นั้น มีความชอบธรรมทางประชาธิปไตย มีความชอบธรรมทางการเมือง

2.เพื่อแก้ปัญหาการตีความตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ 4/2564 เนื่องจากการจะจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ควรจะสอบถามความคิดเห็นประชาชนก่อนเป็นอันดับแรก

3.พรรคก้าวไกลคิดว่า การทำประชามติตั้งแต่แรก จะเป็นกลไกที่สำคัญ ทำให้เราสามารถหาข้อยุติในความคิดเห็นที่แตกต่างกัน โดยกระบวนการทางประชาธิปไตยตั้งแต่ต้น ที่จะทำให้กระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ มีความราบรื่น และประสบความสำเร็จ

สำหรับคำถามในการทำประชามติครั้งแรกควรจะเป็นอย่างไรนั้น นายชัยธวัช กล่าวว่า จุดยืนของพรรคก้าวไกล เราเห็นว่าการจะทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ควรจะทำใหม่ทั้งฉบับ โดยสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงทั้งหมด อย่างไรก็ดีเมื่อมีความกังวล และมีความเห็นที่ยังแตกต่างกัน ทั้งจากฝั่งรัฐบาล จากฝั่ง สว. และจากประชาชนหลายฝ่ายในบางประเด็นที่สำคัญ โดยเฉพาะในเรื่องความคิดเห็นว่า การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ควรจะมีการแก้ไข หมวดหนึ่ง หมวดสองด้วยหรือไม่ หรือควรล็อคไว้ ไม่ให้มีการแก้ไข หรือแม้กระทั่งความเห็นที่แตกต่างว่า แม้จะเห็นด้วยว่า ควรจะมีการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดย สสร. แต่ สสร. ควรมาการเลือกตั้งโดยตรงทั้งหมดหรือไม่ 
    
หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวว่า ข้อเสนอทางเลือกในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้ สามารถที่จะกลายเป็นเวทีที่สำคัญ ที่ทำให้เราใช้การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ หาฉันทามติใหม่ให้กับสังคมไทยได้ แก้ไข คลี่คลาย ความขัดแย้งทางการเมืองในรอบเกือบ 20 ปีที่ผ่านมา เราจึงคิดว่าควรจะออกแบบคำถาม เพื่อให้บรรลุเป้าหมายตรงนั้น โดยที่ไม่ทำให้มีใครคนใดคนหนึ่งรู้สึกว่าตัวเองถูกกีดกันออกจากกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ตั้งแต่ต้น และสามารถทำให้เกิดความชอบธรรมทางประชาธิปไตย เกิดการยอมรับรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ในที่สุด แม้ว่าแต่ละฝ่ายไม่สามารถที่จะผลักดันเนื้อหาของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ได้ตามต้องการทั้งหมด 

‘ก้าวไกล’ เห็นพ้องอนุฯจำนวนครั้งประชามติแก้ รธน. ‘ชัยธวัช’ ชงคำถามพ่วง

นายชัยธวัช กล่าวด้วยว่า พรรคก้าวไกลจึงได้นำเสนอต่อคณะอนุกรรมการฯ ว่า ควรจะออกแบบคำถามในการจัดทำประชามติครั้งแรก โดยมีคำถามหลักหนึ่งคำถาม แล้วจึงมีคำถามพ่วงสองคำถาม คำถามหลักควรจะเป็นคำถามที่กว้างที่สุด และสามารถสร้างความเห็นร่วมได้มากที่สุด คือ “เห็นชอบหรือไม่ที่ควรจะมีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดย สสร.” เราคิดว่านี่จะเป็นคำถามที่เราสามารถทำให้ประชาชนเข้าใจได้ง่าย และไม่ทำให้มีเงื่อนไขปลีกย่อย ที่ทำให้เกิดการเห็นแตกต่างกัน ในการคัดค้านการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ตั้งแต่ต้น ในส่วนของคำถามพ่วงอีกสองคำถาม คือ ”เห็นด้วยหรือไม่ในการแก้ไขรัฐธรรม โดยคงไว้ในหมวดหนึ่งหมวดสอง” และคำถามพ่วงที่สองคือ “เห็นชอบหรือไม่ ที่จะให้ สสร.มาจากการเลือกตั้งโดยตรงทั้งหมด” ทั้งหมดนี้เป็นข้อเสนอของพรรคก้าวไกลในการตั้งคำถามจัดทำประชามติในครั้งแรก เพื่อให้การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่บรรลุผล และมีความชอบธรรมทางประชาธิปไตย

หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวอีกว่า ส่วนข้อเสนอที่สาม ที่ฝ่ายรัฐบาลยังมีความกังวลในเงื่อนไข ตามหลักเสียงข้างมากสองขั้นตอน (double majority) ในพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการทำประชามติในปัจจุบัน ที่อาจไม่ใช่อุปสรรคสำหรับการทำประชามติในครั้งนี้ แต่เป็นอุปสรรคของทุกๆ เรื่องในอนาคต เราจึงเห็นว่า หากมีความกังวลเรื่องนี้ ควรจะมีการแก้ไขเพิ่มเติมในพ.ร.บ.ประชามติฯ อย่างรวดเร็วเร่งด่วน เพื่อยกเลิกเงื่อนไขในเรื่องที่รัฐบาลกังวลข้างต้น พรรคก้าวไกลได้เสนอด้วยว่า ควรให้คณะอนุกรรมการฯ และกรรมการชุดใหญ่ของรัฐบาล หาข้อยุติในประเด็นนี้ให้ได้ก่อน เพราะหากได้ได้ข้อยุติร่วมแล้ว ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายค้าน หรือฝ่ายรัฐบาล เราก็จะสามารถร่วมมือกัน เพื่อเสนอร่างแก้ไขเพิ่มเติม ได้ทันทีหลังเปิดสมัยประชุมสภาฯ

ขณะที่นายนิกร กล่าวว่า ผลการหารือเป็นไปตามที่คาดหวัง ได้รับฟัง และได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี แม้จะยังมีประเด็นที่ยังเคลือบแคลงว่า ยังมีความเห็นต่าง แต่ทั้งสองฝ่ายยังมีความเห็นตรงกันว่า ควรมีการจัดทำรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย รวมถึงกรณีที่พรรคก้าวไกลไม่เข้าร่วมกับคณะกรรมการฯ ของรัฐบาล ก็ได้คลี่คลายหลักการกันเป็นที่เข้าใจ

นายนิกร กล่าวอีกว่า สำหรับข้อเสนอ 3 ข้อ ของพรรคก้าวไกลนั้น ในเรื่องจำนวนครั้งของการทำประชามติ มีความเห็นสอดคล้องกับคณะอนุกรรมการฯ โดยประชามติ 2 ครั้งท้าย มีสภาพบังคับตามกฎหมายอยู่แล้ว แต่การทำครั้งแรกมีความสำคัญมาก เพราะเป็นการเริ่มนับหนึ่งของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

นายนิกร กล่าวว่า คำถามประชามติเป็นเรื่องยาก เพราะต้องมีความรวบรัด ชัดเจน ไม่ซับซ้อน ประชาชนสามารถเข้าใจได้ง่าย อีกทั้ง รัฐบาลก็มีภารกิจกับคำแถลงของตัวเอง เมื่อวันที่ 13 ก.ย.ที่ผ่านมา จากการที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้เห็นชอบให้ดำเนินการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยไม่แก้ไขหมวดที่ว่าด้วยพระมหากษัตริย์ โดยเฉพาะหมวด 2 เป็นทั้งนโยบายที่แถลงต่อรัฐสภา และเป็นมติ ครม. 

สำหรับข้อเสนอเรื่องการคัดเลือก สสร. ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนโดยตรง 100% นั้น นายนิกร กล่าวว่า พรรคก้าวไกลยังมองต่างจากฝ่ายรัฐบาล ที่มองว่าควรมีสัดส่วนอาชีพอยู่บ้าง เช่น นักวิชาการ โดยอาจไม่ได้มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด ซึ่งคงต้องพูดคุยกันต่อไปในรายละเอียด

ส่วนประเด็นหลักเกณฑ์การใช้เสียงเกินกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 2 ชั้นนั้น นายนิกร กล่าวว่า ยังมีความเห็นแบ่งเป็น 2 ทาง คือจำนวนผู้ออกมาใช้สิทธิ์ยังคงต้องเกินกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิ คือ 26 ล้านเสียง พรรคก้าวไกลมองว่า ยังมากเกินไป และเสนอว่าลดให้เหลือเป็นผู้ใช้สิทธิต่ำกว่ากึ่งหนึ่ง หรือจำนวนประมาณร้อยละ 40

นายนิกร กล่าวด้วยว่า คณะอนุกรรมการฯ และพรรคก้าวไกลเห็นตรงกันว่า จำนวนผู้เห็นชอบควรต้องเกินกึ่งหนึ่งของผู้มาใช้สิทธิ เนื่องจากเกรงว่าจำนวนผู้ไม่ออกมาใช้สิทธิ จะมารวมกับจำนวนผู้ไม่เห็นชอบ จนเป็นผลให้เสียงข้างน้อยพลิกกลับมาชนะได้ โดยถ้าทำเรื่องนี้สำเร็จ จะได้กฎหมายดีๆ มา 2 ฉบับ จึงฝากนายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคก้าวไกล ให้หารือกับคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง และการมีส่วนร่วมของประชาชน และตนเองจะหารือกับฝ่ายรัฐบาล