'ชัยชนะ' สวน 'อัครเดช' คนใจเค็ม ยันนโยบายลดราคาน้ำมันมีปัญหา

'ชัยชนะ' สวน 'อัครเดช' คนใจเค็ม ยันนโยบายลดราคาน้ำมันมีปัญหา

‘ชัยชนะ’ สวน ‘อัครเดช’ ซัดกลับเป็นคนใจเค็ม ไม่รับฟังความเดือดร้อน ยันนโยบายลดราคาน้ำมันมีปัญหา หลังพบหลายปั๊มน้ำมันหมด จนประชาชนไม่ได้รับประโยชน์จากนโยบาย หวั่นหลังปีใหม่ 2567 น้ำมันแพงเพื่อนำเงินไปชดเชยกองทุนน้ำมัน 

เมื่อวันที่ 11 พ.ย. 2566 นายชัยชนะ เดชเดโช  สส.นครศรีธรรมราช และรักษาการรองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.)  กล่าวถึงกรณีที่ นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี และโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ออกมาระบุว่าตนเป็นคนใจบอด หลังจากที่วิพากษ์วิจารณ์นโยบายลดราคาน้ำมัน ซึ่งเป็นนโยบายที่นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รมว.พลังงาน เป็นผู้กำกับดูแล ว่า ถ้านายอัครเดชว่าตนว่าเป็นคนใจบอดแล้ว ตนก็เห็นว่า นายอัครเดช คงจะว่าคนที่เดือดร้อนจากการที่รอรับผลประโยชน์จากนโยบายนี้เช่นเดียวกัน เพราะคนเหล่านั้น ต่างเป็นผู้ประสบปัญหาที่เมื่อรัฐบาลได้ประกาศว่า จะลดราคาน้ำมันลง ก็มีการแห่ไปใช้บริการจนน้ำมันในสต๊อกมีไม่เพียงพอ จนทำให้เสียสิทธิที่ควรจะได้รับ และเมื่อตนบอกปัญหานี้ไป แทนที่จะรับฟังและนำไปแก้ไข กลับมาว่าตนเป็นคนใจบอด

นายชัยชนะ กล่าวว่า ดังนั้น ตนจึงอยากให้นายอัครเดช ลดความใจเค็มของตัวเองบ้าง โดยการรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น เพราะตนเห็นว่า เมื่อประชาชนมีปัญหาเดือดร้อน นอกจากใช้สื่อโซเซียลมีเดียบอกกล่าวแล้ว ก็ยังใช้ สส.ในสภา ในการเป็นสื่อกลางบอกกล่าวถึงความเดือดร้อน โดยหวังว่า เสียงของ สส. จะมีน้ำหนักเพียงพอเพื่อที่ให้รัฐบาลรับทราบและพิจารณา แต่ในเมื่อนายอัครเดช กลับมองว่า ที่ตนพูดไปกลายเป็นการโจมตีพรรคการเมืองที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานสังกัด และขอให้ไล่ไปดูการแก้ไขปัญหานั้น 

“นอกจากน้ำมันในหลาย ๆ ปั๊มหมดเพราะคนแห่ไปเติมน้ำมันราคาถูกโดยที่ไม่มีแผนรองรับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจากการที่น้ำมันหมดแล้ว ผมก็ยังสงสัยว่า รัฐบาลจะมีการนำเงินจากกองทุนน้ำมันชดเชยส่วนต่างจากราคาจริงมากน้อยขนาดไหน เพราะกรณีแบบนี้ไม่ใช่เป็นครั้งแรก ที่ราคาน้ำมันกลายเป็นเครื่องมือหาคะแนนนิยมทางการเมือง ซึ่งขณะนี้ผมรอวันขึ้นปีใหม่ 2567 ว่า จะมีการปล่อยให้ราคาน้ำมันแพงขึ้น เพื่อชดเชยในการนำเงินเข้ากองทุนน้ำมันหรือไม่" นายชัยชนะ กล่าว

นายชัยชนะ กล่าวอีกว่า เจตนาที่ตั้งไว้คือการลดค่าครองชีพประชาชน แต่ปรากฏว่า ขณะนี้นโยบายที่ขานรับมากที่สุดกลับเป็นนโยบายยืดระยะเวลาการจ่ายค่าไฟให้กับประชาชน ที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เสนอ เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน โดยขยายระยะเวลาการตัดมิเตอร์ไฟฟ้าจากปกติ 1 เดือน เป็น 3 เดือน เพราะถือเป็นการแก้ปัญหาได้อย่างทั่วถึงและตรงจุดของประชาชนผู้เดือดร้อนจริง ๆ 

นายชัยชนะ กล่าวด้วยว่า ดังนั้นตนจึงอยากให้นายอัครเดช ลดเรื่องความใจเค็มที่ไม่เปิดโอกาสให้คนอื่น ๆ เสนอแนะปัญหา แต่ควรกลับมามองข้อเท็จจริงว่า สิ่งที่ตั้งใจว่าจะเป็นนโยบายเพื่อช่วยเหลือประชาชน ควรจะต้องปรับแก้อย่างไรเพื่อให้ทุกคนได้ประโยชน์สูงสุดมากกว่าที่จะตั้งแง่ทางการเมืองและในตอนนี้ยังสับสนและไม่แน่ใจกับการทำงานในหน้าทีโฆษกของนายอัครเดช เหมือนกัน ไม่ทราบว่าเป็นโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติหรือโฆษกส่วนตัวนายกรัฐมนตรี